วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ริโอ เฟอร์ดินานด์


นับตั้งแต่ย้ายจากลีดส์ ยูไนเต็ด มาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2002 ริโอ เฟอร์ดินานด์ ก็กลายเป็นหัวใจในแนวรับของ "ปีศาจแดง" มาตลอด รวมถึงเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษด้วย
ชีวิต ในวัยเด็กของ เฟอร์ดินานด์ ค่อนข้างจะยากลำบาก โดย จูเลี่ยน พ่อของเขาอพยพมาจากเซนต์ ลูเซีย ขณะที่ เจนิส ลาเวนเดอร์ เป็นแองโกล-ไอริช และพ่อแม่ของเขาไม่เคยเข้าพิธีแต่งงานกันมาก่อน อีกทั้งยังเลิกกันตั้งแต่ ริโอ ยังเป็นเด็กๆ ด้วย เขามีน้องชายและน้องสาวหลายคน รวมถึงน้องชายและน้องสาวอย่างละคนจากการแต่งงานใหม่ของแม่ด้วย
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าตระกูล เฟอร์ดินานด์ จะเป็นแหล่งผลิตนักฟุตบอลชั้นดีหลายคน โดย อันทอน เฟอร์ดินานด์ ซึ่งเป็นน้องชายของเขาเล่นให้กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ส่วน เลส เฟอร์ดินานด์ ลูกพี่ลูกน้องของเขาก็เป็นถึงอดีตศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษมาแล้วเช่นกัน
เฟอร์ดินานด์ เริ่มต้นการเล่นในระดับเยาวชนให้กับควีนสพาร์ค เรนเจอร์ส (คิวพีอาร์) ตามด้วย เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก่อนที่จะได้เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของ "ขุนค้อน" และประเดิมสนามครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 1996 ในฐานะตัวสำรองในเกมที่เสมอกับ เชฟฟิลด์ เวนสเดย์ และในฤดูกาล 1997-98 เขาก็คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเวสต์แฮม ด้วยวัยเพียง 20 ปี
หลังจากนั้น เฟอร์ดินานด์ ก็ย้ายมาร่วมทีม ลีดส์ ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีก เมื่อเดือนพ.ย. 2000 ด้วยค่าตัวมหาศาล 18 ล้านปอนด์ (ราว 1,260 ล้านบาท) และทำให้เขากลายเป็นกองหลังที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก ก่อนที่กลายเป็นกัปตันทีม "ยูงทอง" ในเดือนส.ค. 2001
จากที่เคยเป็นขวัญใจของแฟนๆ ในถิ่นเอลแลนด์ โร้ด เฟอร์ดินานด์ ก็กลายเป็นคนทรยศในสายตาแฟนบอลลีดส์ ไปในทันทีที่ย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2002 ด้วยสัญญา 5 ปี เนื่องจากทั้งสองทีมถือเป็นคู่อริกันมานาน แต่ไม่วาจะอย่างไรก็ตาม เขาก็สร้างสถิติโลกในการเป็นกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกขึ้นมาใหม่ด้วย มูลค่า 33 ล้านปอนด์ (ราว 2,310 ล้านบาท)
กว่า เฟอร์ดินานด์ จะทำประตูแรกให้ "ปีศาจแดง" ได้ ก็ต้องรอจนถึงวันที่ 14 ธ.ค. 2005 ในเกมที่ถล่ม วีแกน 4-0 แต่ประตูที่สำคัญที่สุดของเขาจนถึงเวลานี้ก็คงจะเป็นการทำประตูชัยได้ในนาที สุดท้ายให้ทีมคว้าชัยเหนือ ลิเวอร์พูล ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในปีเดียวกัน
การทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจและคงเส้นคงวาทำให้ เฟอร์ดินานด์ ได้รับการคัดเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมปีศาจแดงอีก 7 คนในฤดูกาล 2005/06
เฟอร์ดินานด์ ทำประตูแรกในถ้วยยุโรปได้ในเกมที่พบกับ ดินาโม เคียฟ ในฤดูกาล 2007-08 ซึ่งแมนฯ ยูไนเต็ด ชนะไป 4-2 และในเกมเอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ กับ พอร์ทสมัธ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2008 เซนเตอร์ฮาล์ฟตัวเก่ง ก็ต้องสวมบทนายทวารจำเป็น เมื่อ เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ได้รับบาดเจ็บจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม และ โทมัส คุซแซค โกล์มือ 2 ก็โดนใบแดงไล่ออกจากสนามไป แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถจะป้องกันลูกจุดโทษของ ซุลเลย์ มุนตารี่ ได้แม้จะพุ่งไปถูกทางก็ตาม ซึ่งผลจบลงด้วยความปราชัยของ "ปีศาจแดง" ด้วยสกอร์ 1-0
นอกจากผลงานที่คงเส้นคงวากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้ว เฟอร์ดินานด์ ยังเป็นนักเตะตัวหลักของทีมชาติอังกฤษมาตลอด ตั้งแต่เลื่อนจากทีมยู-21 ปี ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 1997 โดยเขาลงสนามนัดแรกด้วยการเป็นตัวสำรองในเกมกระชับมิตรกับ แคเมอรูน เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 1997 และทำให้เขากลายเป็นกองหลังทีมชาติอังกฤษที่อายุน้อยที่สุดในวัย 19 ปี 8 วัน ก่อนที่สถิติดังกล่าวจะถูกทำลายโดย ไมกาห์ ริชาร์ดส์ ในเวลาต่อมา
เฟอร์ดินานด์ พลาดการติดทีมชาติไปลุยศึกฟุตบอลโลก 1998 หลังจากโดนข้อหาเมาแล้วขับ แต่ในเวิลด์คัพ 2002 และ 2006 เขาก็เป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ และได้ลงสนามเป็นตัวจริงทุกนัด และเมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2008 ที่ผ่านมา กองหลังปีศาจแดง ก็ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก ในเกมนัดกระชับมิตรกับ ฝรั่งเศส ซึ่ง "สิงโตคำราม" แพ้ไป 0-1
สำหรับชีวิตส่วนตัว เฟอร์ดินานด์ มีลูกชายชื่อ ลอเรนซ์ ซึ่งเกิดจาก รีเบ็คก้า เอลลิสัน แฟนสาว เมื่อปี 2006 และในเดือนก.ค. 2007 เขาก็ได้ขอเธอแต่งงานที่ลาส เวกัส แม้จะยังมีข่าวลืออยู่เป็นระยะๆ ว่าเขาเป็นพวกรักร่วมเพศก็ตาม


พอล สโคลส์


ไม่ง่ายที่นักฟุตบอลอาชีพคนหนึ่ง จะสามารถทำผลงานได้เข้าตาตำนานลูกหนังโลกอย่าง เซอร์ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ได้
แต่ อดีตดาวเตะทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์โลก และอดีตสตาร์ แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดแชมป์ยุโรปครั้งแรก กลับประทับอกประทับใจไอ้หนุ่มหัวแดงนาม พอล สโคลส์ เป็นอย่างยิ่ง
"เขาคอนโทรลลูกบอลได้เฉียบขาด แถมยังผ่านบอลได้สุดแจ่ม นี่คือนักเตะที่เล่นฟุตบอลได้เนียนตาดีเหลือเกิน" เซอร์ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน นิยามนักเตะรุ่นหลานเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
สโคลส์ เป็นผลิตผลชิ้นงามจากโรงเรียนลูกหนัง "ปีศาจแดง" เจเนอเรชั่นเดียวกับ เดวิด เบ็คแฮม, ไรอัน กิ๊กส์, นิคกี้ บัตต์ รวมถึงสองศรีพี่น้อง แกรี่ กับ ฟิล เนวิลล์ ในช่วงกลางยุคไนน์ตี้ส์
หนุ่มจอมห้าวผู้เกิดแถบ ซัลฟอร์ด เหมาสองลูกในเกมประเดิมสนามของตัวเองกับสโมสร โดยเป็นการเจอกับ พอร์ทเวล ใน ลีก คัพ เมื่อฤดูกาล 1994/95 ขณะที่ประตูแรกของ สโคลส์ ในเกมลีก เกิดขึ้นกับ อิปสวิช ในปีเดียวกัน
ฤดูกาลที่แจ่มสุดๆ ของ สโคลส์ ใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แน่นอนว่า ต้องมีฤดูกาล 1995/96 ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้า "ดับเบิ้ลแชมป์" ได้ ซึ่งดาวเตะหัวแดงเพลิง เข้ามาเสียบแทนการหายไปของ เอริค คันโตน่า ที่โดนแบนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สโคลส์ จบฤดูกาลที่น่าจดจำดังกล่าว ด้วยการคว้าอันดับรองดาวซัลโวของสโมสร โดยทำไป 14 เม็ด เป็นรองเพียง คันโตน่า เพียงคนเดียว
"สโคลซี่ย์" ยังฉายฟอร์มสุดยอดในฤดูกาลที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้า "เทรเบิ้ลแชมป์" เมื่อปี 1999 แม้ว่า จะอดเล่นในนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เพราะติดโทษแบน
ในฤดูกาล 2003 ที่ "ปีศาจแดง" กลายร่างเป็นเทพในพรีเมียร์ลีกนั้น 20 ประตูทองของ สโคลส์ ก็ถือว่า มีความสำคัญสุดยอดเช่นเดียวกัน
พูดน้อย แต่ต่อยหนัก คือคุณสมบัติของดาวเตะผู้เป็นที่ใฝ่ฝันของกุนซือทุกคนบนโลกรายนี้
สโคลส์ สามารถทำประตูได้จากทุกระยะของสนาม
ในระดับชาติ สตาร์รายนี้ รับใช้ทีมชาติอังกฤษไปทั้งหมด 66 วาระ ก่อนประกาศขอเลิกหลังจบศึก ยูโร 2004 ที่ โปรตุเกส
นับตั้งแต่นั้น สโคลส์ ก็หันมาทุ่มเทให้กับการรับใช้สโมสร แมนฯ ยูไนเต็ด แบบเต็มตัว แม้จะถูกจีบให้หวนคืนทีมชาติหลายครั้ง แต่ก็ส่ายหน้าตอบทุกครั้ง
ปัญหาทางสายตาของ สโคลส์ ทำให้เขามีส่วนร่วมกับฤดูกาล 2005/06 เพียงน้อยนิด
แต่ "สโคลซี่ย์" ก็รีเทิร์นกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2006/07
ไฮไลต์ส่วนตัวคือการซัดเปิดแผล ลิเวอร์พูล ในชัยชนะ 2-0 เมื่อเดือนตุลาคม 2006 รวมถึงการวอลเล่ย์เต็มเหนี่ยวในเกมบุกถล่ม แอสตัน วิลล่า 3-0 ในอีกสองเดือนถัดมา ซึ่งประตูนี้ ถูกคัดเลือกให้เป็นประตูยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลโดยแฟนๆ ของสโมสรด้วย
ผลงานที่ใช้เท้าพูดแทนปาก ส่งผลให้เพื่อนนักเตะ และนักข่าว เลือกให้ สโคลส์ เข้าป้ายอันดับสามสำหรับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมสมาคมนักฟุตบอลอาชีพหรือ พีเอฟเอ และอันดับสี่สำหรับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักข่าว ซึ่งทั้งสองรางวัล ตกเป็นของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
สำหรับฤดูกาล 2007/08 นี้ "สโคลซี่ย์" มีโอกาสลบล้างความผิดหวังที่เคยพลาดนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อเก้าปีก่อน หลังจากที่ตะบันประตูดับ บาร์เซโลน่า พร้อมกับส่ง "ปีศาจแดง" ทะยานสู่ มอสโก อย่างองอาจ
ที่ ลุซนิกี้ สเตเดี้ยม ในวันที่ 21 พฤษภาคมนี้ แน่นอนว่า สโคลส์ บนวัย 33 ปี จะเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์อย่างแน่นอน


มิชาเอล บัลลัค




ไม่ว่า เชลซี จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกหรือไม่ในฤดูกาลนี้ แต่เชื่อว่าชื่อของ มิชาเอล บัลลัค จะถูกจดจำโดยสาวก "สิงโตน้ำเงินคราม" ไปอีกนานเป็นแน่


นี่คือผู้เล่นที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นคนทำให้การแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2007/08 เข้มข้นขึ้นคลั่กในช่วงท้ายฤดูกาล

บัลลัค เป็นแรงขับให้ เชลซี อัด แมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนที่จะพาทีมบุกไปเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ถึงรัง จนยื้อให้การลุ้นแชมป์ ไปวัดกันวันสุดท้าย

กัปตันทีมชาติเยอรมัน เดินทางมาไกลเหลือเกินกว่าจะมีวันนี้ได้

บัลลัค เกิดใน เยอรมันตะวันออก และเริ่มต้นชีวิตนักเตะกับ คาร์ล-มาร์กซ์-สตัดต์ เอฟซี สโมสรซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น เชมนิตซ์ เอฟซี หลังจากการทุบทำลายกำแพงกั้นระหว่างเยอรมันตะวันออกกับตะวันตก

ฝีเท้า บัลลัค โดดเด่นจนมีชื่อติดทีมชาติเยอรมันรุ่น ยู 21 ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจย้ายสู่ ไกเซอร์สเลาเทิร์น ใน บุนเดสลีกา เมื่อปี 1997

เขาลงสนามให้สโมสร 16 เกม ในฤดูกาลแรกที่ ไกเซอร์สเลาเทิร์น สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการกลายเป็นน้องใหม่ที่เลื่อนขึ้นมาคว้าแชมป์ลีกสูง สุดได้อย่างหน้าตาเฉย

บนวัย 22 เจ้าหนุ่ม บัลลัค จอมห้าว ได้ติดทีมชาติชุดใหญ่ พร้อมกับย้ายสู่ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ซึ่งกราฟชีวิตนักเตะของเขา เริ่มพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆ

"ไกเซอร์น้อย" เป็นกำลังสำคัญพา "ห้างขายยา" เข้าชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศในปี 2002 แต่ต้องปราชัยให้ ซีเนดีน ซีดาน แอนด์ โค ในชุด เรอัล มาดริด

อย่างไรก็ตาม จากผลงานอันโดดเด่น ยังผลให้ บัลลัค มีชื่อติดสามอันดับนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเมืองเบียร์

สโมสรที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมันอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ไม่รอช้าที่จะกระชากตัว บัลลัค เข้าสังกัดด้วยค่าตัว 12.9 ล้านปอนด์

กับ "เสือใต้", บัลลัค มีโอกาสได้สัมผัสกับแชมป์ บุนเดสลีกา เพียงฤดูกาลแรกในแคว้น บาวาเรีย ก่อนที่ บัลลัค จะระเบิดฟอร์มกดสองเม็ดในศึก เยอรมัน คัพ นัดชิงชนะเลิศ จนช่วยให้ บาเยิร์น ประสบความสำเร็จระดับดับเบิ้ลแชมป์

ความสำเร็จสองถ้วย เกิดขึ้นอีกครั้งในอีกสองปีต่อมา และอีกครั้งในปถัดมา ซึ่งถือเป็นปีสุดท้ายของ บัลลัค ในเยอรมัน

ในระดับชาติ บัลลัค กลายเป็นผู้เล่นที่ทุ่มเทจนได้ใจแฟนๆ "อินทรีเหล็ก" ในรายการ เวิลด์ คัพ สองประตูทองของเขา ช่วยให้เยอรมัน ผ่านเข้ารอบควอเตอร์ไฟนั่ล และรองชนะเลิศเมื่อคราว เวิลด์ คัพ ฉบับเอเชีย

แต่การโดนใบเหลืองอย่างไม่เห็นแก่ตัวของ บัลลัค ยังผลให้เขาต้องพลาดลงสนามในเกมนัดชิงชนะเลิศกับ บราซิล อย่างน่าเสียดาย

ในปี 2006 บนแผ่นดินเกิด บัลลัค ต้องอกหักอีกครั้งเมื่อพลาดลงสนามในนัดชิงชนะเลิศ เวิลด์ คัพ จากการที่โดนอิตาลีเล่นงาน

เมื่อ บัลลัค ตัดสินใจอำลา บาเยิร์น แบบไร้ค่าตัวตั้งแต่ก่อนศึก เวิลด์ คัพ เขาได้เลือกแล้วว่า เชลซี คือที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง

อันตรายยามอยู่บนอากาศ, ยิงบอลหนักหน่วง, ผ่านได้แม่นยำทั้งสองเท้า... บัลลัค เดินเข้าสู่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ พร้อมด้วยสถิติยิงหนึ่งประตูๆ ทุกๆ สองเกมทั้งในระดับสโมสร และทีมชาติ

อย่างไรก็ตาม อาการเจ็บข้อเท้า ทำให้ บัลลัค ต้องหายหน้าไปนานกว่าแปดเดือน ซึ่งนานเพียงพอที่จะทำให้เขาอดมีส่วนร่วมกับศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม

บัลลัค กลับมาลงสนามให้ เชลซี อีกครั้งในฐานะตัวสำรองของเกม คาร์ลิ่ง คัพ รอบแปดทีมสุดท้ายที่ เชลซี เอาชนะ ลิเวอร์พูล โดยเป็นคนใส่พานให้ อังเดร เชฟเชนโก้ กดประตูในนาทีที่ 90

สัปดาห์ถัดมา บัลลัค รับบทตัวสำรองอีกครั้ง และคราวนี้ มิดฟิลด์จอมถล่มประตูจัดการพังประตูแรกในฤดูกาลให้ตัวเองเมื่อบรรจงปั่นฟรี คิกตุงตาข่าย ก่อนที่จะเรียกจุดโทษได้ในเกมซึ่งลงเอยด้วยผลเสมอ 4-4 อย่างน่าตื่นเต้น

สามวันต่อมา บัลลัค ได้รับมอบหมายให้เป็นกัปตันทีมจากการที่ทั้ง จอห์น เทอร์รี่ และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ไม่อยู่ และสตาร์ชาวเยอรมัน ก็ช่วยให้ทีมคัมแบ๊กกลับมาเอาชนะที่ ฟูแล่ม ด้วยการกดจุดโทษอย่างเด็ดขาด

เมื่อฟิตเต็มถัง บัลลัค จะเป็นผู้เล่นที่หยุดยากเสมอๆ

เหมือนกับช่วงท้ายฤดูกาล 2007/08 นี้ที่ บัลลัค ยังช่วยให้ เชลซี ของ อัฟราม แกร้นท์ ยืนระยะอย่างมั่นคง

ชีวิตของ บัลลัค เคยผ่านความเจ็บช้ำมามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวืดแชมป์ทั้งสามรายการในปีเดียวที่ เลเวอร์คูเซ่น ซึ่งส่งผลให้จิตใจของเขาแข็งแกร่งปานภูผา ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับ สถานการณ์อะไร บัลลัค บ่เคยยั่น

จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมบอร์ดบริหารสโมสร เชลซี จึงอยากให้ บัลลัค อยู่ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไปจนแขวนสตั๊ด แม้ต้องจ่ายเงินค่าแรงให้สัปดาห์ละแสนกว่าปอนด์ให้กับผู้เล่นที่อายุปาเข้า 31 ปีแล้ว

โอลิเวอร์ คาห์น


แม้ว่าจะแขวนถุงมือไปแล้ว แต่ชื่อของ โอลิเวอร์ คาห์น แห่งบาเยิร์น มิวนิค ก็คงจะถูกจดจำในฐานะหนึ่งในสุดยอดผู้รักษาประตูแถวหน้าของโลกในช่วงหนึ่ง ทศวรรษที่ผ่านมาอย่างไม่ต้องสงสัย
คา ห์น เริ่มต้นการค้าแข้งอาชีพกับคาร์ลสรูห์ ซึ่งเป็นทีมในบ้านเกิดเมื่อปี 1987 ก่อนที่จะย้ายมาร่วมทีม "เสือใต้" เมื่อปี 1994 และกลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของวงการฟุตบอลเยอรมัน เมื่อคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าได้ถึง 8 สมัย, เดเอฟเบ โพคาล 6 สมัย, ยูฟ่า คัพ, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และอินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ อย่างละสมัย นอกจากนั้น ยังคว้ารางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมของยุโรป 4 ปีติดต่อกันด้วย
หลังจากที่ใช้เวลาในการเป็นตัวสำรองอยู่ 3 ปีที่คาร์ลสรูห์ คาห์น ก็ได้รับโอกาสให้ลงเป็น 11 คนแรกเมื่อปี 1990 ภายใต้การคุมทีมของ วิลเฟรด เชเฟอร์ และเขาก็ไม่ทำให้เจ้านายต้องผิดหวังเมื่อเป็นกำลังสำคัญให้ทีมมาตลอดซึ่งรวม ถึงการพาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่า คัพ ในฤดูกาล 1993-94
ผลงานการป้องกันประตูที่เหนียวหนึบของเขา ทำให้บาเยิร์น มิวนิค ตัดสินใจทุ่มเงิน 2.5 ล้านยูโร (ราว 125 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นสถิติค่าตัวสูงสุดของผู้รักษาประตูในเวลานั้น เพื่อดึงตัวมาเฝ้าเสาให้ในฤดูกาล 1994-95 และเป็นนายด่านเบอร์ 1 ของทีม "เสือใต้" มาอย่างโดยตลอด
ในปี 1999 "คิง คาห์น" ก็ต้องพบกับความชอกช้ำอย่างหนักเมื่อบาเยิร์น พลาดท่าพ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่สนามคัมป์ นู เมื่อเขาเสีย 2 ประตูในนาทีสุดท้ายและช่วงทดเวลา ทำให้ "ปีศาจแดง" แซงชนะไปอย่างเจ็บแสบ 2-1 จนกลายเป็นที่ขนานนามกันว่า "โศกนาฎกรรมแห่งคัมป์ นู"
อย่างไรก็ตาม ในอีก 2 ปีต่อมา คาห์น ก็แก้ตัวได้สำเร็จเมื่อถูกเลือกให้เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อพาบาเยิร์น คว้าเหรียญชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ ด้วยการเฉือนชนะ บาเลนเซีย ในการดวลจุดโทษ และเป็นการพา "เสือใต้" เป็นเจ้ายุโรปสมัยที่ 4 ด้วย
คาห์น สร้างชื่อให้ตัวเองอีกครั้งในปี 2007 เมื่อกลายเป็นผู้รักษาประตูที่ทำสถิติคลีนชีตมากที่สุดในประวัติศาสตร์บุนเด สลีก้าเมื่อทำได้ 190 นัด และเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2007 เขาก็ลงเฝ้าเสาในลีกเป็นเกมที่ 535 ซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดานายทวารทั้งหมด
หลังจากที่ลงเล่นอาชีพมานานกว่า 2 ทศวรรษ คาห์น ก็ประกาศว่าเขาจะไม่ต่อสัญญากับบาเยิร์นอีกเมื่อจบฤดูกาลนี้ และเขาก็ได้ทำตามที่ลั่นวาจาเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถปิดฉากด้วยการคว้าดับเบิลแชมป์ เมื่อพลาดท่าพ่ายเซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก จากรัสเซีย แบบเละเทะ 0-4 ในรอบรองชนะเลิศยูฟ่า คัพ
ทว่า อย่างน้อย "คิง คาห์น" ก็ยังช่วยให้ "เสือใต้" กลับมาคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าได้อีกครั้ง ด้วยการถล่ม แฮร์ธ่า เบอร์ลิน 4-1 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ที่ผ่านมา และนั่นก็ทำให้นายทวารจอมเก๋าลงเฝ้าเสาให้บาเยิร์นไปทั้งหมด 428 นัด จนถูกยกให้เป็นตำนานผู้รักษาประตูของยักษ์ใหญ่แห่งแคว้นบาวาเรียเช่นเดียว กับ เซปป์ ไมเออร์
ด้าน ผลงานในทีมชาติ คาห์น ได้ลงเฝ้าเสาให้ทีมอินทรีเหล็กเป็นครั้งแรกในเกมที่พบกับ สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 1995 และก็เป็นหนึ่งในทีมเยอรมันชุดคว้าแชมป์ยูโร 2006 แต่เขาก็ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนม้านั่งสำรอง จนกระทั่ง อันเดรียส ค็อปเค่ ประกาศอำลาแขวนถุงมือหลังจบศึกฟุตบอลโลก 1998
กระนั้นก็ตาม คาห์น ที่ได้สวมเสื้อหมายเลข 1 ให้กับทีมอินทรีเหล็ก กับต้องพบกับความผิดหวังอย่างหนักศึกยูโร 2000 เมื่อเยอรมัน แชมป์เก่า ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับโรมาเนีย, อังกฤษ และโปรตุเกส ต้องกระเด็นตกรอบแรกแบบพลิกความคาดหมาย โดยหลังจากนั้น คาห์น ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมชาติต่อจาก โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์
ในศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพร่วม คาห์น ได้รับเลือกให้เป็นผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ "เลฟ ยาชิน อวอร์ด" หลังจากเสียไปแค่ 3 ประตู ก่อนพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะพ่ายให้กับ บราซิล ไปอย่างหวุดหวิด และฟอร์มอันสุดยอดเยี่ยมของเขาก็ทำให้กลายเป็นนายทวารคนแรกที่ได้รับรางวัล "โกลเดน บอล อวอร์ด" ในศึกฟุตบอลโลก
อีก 2 ปีต่อมา เยอรมัน ก็ต้องจอดป้ายแค่รอบแบ่งกลุ่มอีกครั้งในศึกยูโร 2004 ที่โปรตุเกส และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คาห์น ก็เสียตำแหน่งนายทวารเบอร์ 1 ของทีมชาติ เมื่อ เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ กุนซือทีมอินทรีเหล็ก ให้โอกาส เยนส์ เลห์มันน์ ของอาร์เซน่อล ได้ลงสนามมากขึ้น ก่อนจะตัดสินใจประกาศให้ เลห์มันน์ เป็นตัวจริงในศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมัน เป็นเจ้าภาพ ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับ คาห์น
อย่างไรก็ตาม คาห์น ก็ยังยอมลงเล่นเป็นตัวสำรองให้กับทีม และเมื่อ เยอรมัน แพ้ในรอบรองชนะเลิศ คลิ้นส์มันน์ ก็ให้โอกาสเขาลงเฝ้าเสาในเกมชิงอันดับที่ 3 พร้อมกับให้เป็นกัปตันทีมแทนที่ มิชาเอล บัลลัค ที่ไม่ได้ลงเล่น และนายด่านบาเยิร์น ก็ไม่ทำให้โค้ชต้องผิดหวังเมื่อโชว์ฟอร์มเซฟสวยๆ ได้หลายครั้งและช่วยให้ทีมเอาชนะโปรตุเกส 3-1 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2006 ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายในการเล่นทีมชาติของเขาด้วย
สำหรับชีวิตส่วนตัวนั้น คาห์น ได้แยกทางกับ ซิโมเน่ ภรรยาคนแรก ที่มีลูกด้วยกัน 2 คนเมื่อปี 2003 โดยการหย่ามีขึ้นหลังจากที่สื่อในเมืองเบียร์ตีพิมพ์ภาพสวีตหวานระหว่าง คาห์น กับ เวเรน่า เคิร์ธ อดีตบาร์เกิร์ล ในระหว่างที่เขาทิ้งภรรยาที่กำลังตั้งท้องลูกคนที่ 2 ได้ 8 เดือน ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักของคนในสังคม แต่ คาห์น ก็ยังคบหากับ เคิร์ธ มาจนถึงปัจจุบัน


สุดยอดมั้ยล่ะท่าน เหนียวมั๊กมาก

ลูคัส โพดอลสกี้





เจ้าของรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำศึก ฟุตบอลโลก 2006 พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือหนึ่งในกองหน้าที่เฉียบขาดที่สุดของเยอรมันในยุคนี้ แม้ว่าจะไม่ค่อยได้รับโอกาสจากบาเยิร์น มิวนิค ต้นสังกัดเท่าที่ควรก็ตาม
ลู คัส โพอลสกี้ เป็นนักเตะที่เกิดในโปแลนด์เช่นเดียวกับ มิโรสลาฟ โคลเซ่ หัวหอกเพื่อนร่วมทีม แต่ได้ย้ายมาอยู่เยอรมันกับครอบครัวตั้งแต่อายุเพียง 2 ขวบ ที่เมืองโคโลญจน์
โพลดี้ เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่ 6 ขวบในทีมเยาวชนของเอฟซี เบิร์กไฮม์ ก่อนจะย้ายมาร่วมโคโลญจน์ เมื่อปี 1995 ในฐานะนักเตะฝึกหัด ซึ่งพรสวรรค์ของเขาได้ฉายแววออกมาอย่างโดดเด่น จนทำให้เหล่าสตาฟฟ์โค้ชของทีม "แพะบ้า" ตัดสินใจเรียกขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2003
ฤดูกาลแรกกับ โคโญจน์ นั้น โพดอลสกี้ ทำได้ถึง 10 ประตูจากการลงสนาม 19 นัดแรกในทีมชุดใหญ่ และแม้ว่าจะไม่สามารถช่วยให้ต้นสังกัดรอดพ้นจากการตกชั้นได้ แต่ก็ทำให้เขากลายเป็นนักเตะวัย 18 ปี ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของบุนเดสลีก้า
จากฟอร์มการเล่นอันร้อนแรงดังกล่าวทำให้ โพดอลสกี้ ถูกเรียกติดทีมชาติเยอรมันในศึกยูโร 2004 และได้รับความสนใจจากหลายสโมสรชื่อดังจำนวนมาก แต่เขาก็ยังปักหลักอยู่ช่วยทีม "แพะบ้า" ต่อไป ก่อนจะช่วยให้ทีมเลื่อนชั้นกลับมาเล่นในลีกสูงสุดของเมืองเบียร์ได้อีกครั้ง พร้อมกับคว้าตำแหน่งดาวซัลโว ลีก้า 2 ไปด้วยจำนวน 24 ประตู
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ โคโลญจน์ ตกชั้นอีกครั้งในฤดูกาล 2006 หัวหอกเลือดโปล์ ก็ได้ตัดสินใจอำลาทีม และย้ายไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค ยักษ์ใหญ่จากแคว้นบาวาเรีย ด้วยค่าตัวราว 10 ล้านยูโร (ประมาณ 500 ล้านบาท) โดยเขาลงสนามในบุนเดสลีก้าเกมแรกให้กับ "เสือใต้" เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2006 ในเกมที่ชนะ ดอร์ทมุนด์ 2-0 ก่อนจะยิงประตูแรกได้ในลีก เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ในปีเดียวกัน และช่วยให้ทีมชนะแฮร์ธ่า เบอร์ลิน 4-2
อย่างไรก็ตาม โพลดี้ โชคร้ายได้รับบาดเจ็บหนักที่ข้อเท้าขวา หลังจากที่ชนกับ มาร์ค ฟาน บอมเมล เพื่อนร่วมทีมระหว่างการฝึกซ้อมเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2006 และต้องพักนานกว่า 3 เดือน ก่อนจะหายเจ็บกลับมา และทำประตูได้อีกครั้งในเกมที่พบกับ อเลมาเนีย อาเค่น
สถานการณ์ในถิ่นอลิอันซ์ อารีน่า ของ โพลดี้ ยังไม่ดีขึ้นในฤดูกาล 2007-08 เนื่องจาก บาเยิร์น ได้สองกองหน้าใหม่มาร่วมทีม นั่นคือ โคลเซ่ และ ลูก้า โทนี่ หัวหอกแชมป์โลกที่ย้ายมาจากฟิออเรนติน่า และทั้งสองคนก็ประสานงานกันได้เป็นอย่างดีโดยมี ฟรองค์ ริเบรี่ เพลย์เมกเกอร์ชาวฝรั่งเศส เป็นตัวปั้นเกม และนั่นก็ทำให้ โพดอลสกี้ ต้องหลุดไปเป็นตัวสำรองโดยปริยาย
แม้จะไม่ค่อยได้ลงเล่นเป็นตัวจริงมากนักในซีซั่นที่ผ่านมา และทำได้แค่ 5 ประตูจากการลงสนาม 24 นัดในลีก แต่ โพลดี้ ก็ยังเป็น 1 ใน 23 นักเตะที่ โยอาคิม เลิฟ กุนซือทีมชาติเยอรมัน เลือกไปสู้ศึกยูโร 2008 อยู่ดี
ทั้งนี้ โพดอลสกี้ ติดทีม "อินทรีเหล็ก" ครั้งแรกหลังจากที่ฉลองวันเกิดครบ 19 ปีได้เพียง 2 วัน โดยเขาถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรองในเกมที่พบกับ โปรตุเกส ในขณะที่ ประตูแรกกับทีมชาติเยอรมันของเขา เกิดขึ้นในเกมนัดกระชับมิตรที่บุกมาถล่มทีมชาติไทย 5-1ในวันที่ 21 ธ.ค. 2004 โดยเขาเหมาคนเดียว 2 ประตู
การแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในนามทีมชาติของ โพดอลสกี้ เกิดขึ้นในศึกเวิลด์ คัพ 2006 เมื่อเขาทำจบทัวร์นาเมนต์ด้วยการทำ 3 ประตู และคว้าตำแหน่งรองดาวซัลโวร่วมของทัวร์นาเมนต์ต่อจาก โคลเซ่ เพื่อนร่วมทีม ที่กดไป 5 ประตู และผลงานที่น่าประทับใจดังกล่าวก็ทำให้ โพลดี้ ได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยม
การทำประตูในนามทีมชาติของหัวหอกวัย 23 ปี ยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และในศึกยูโร 2008 รอบคัดเลือก เขาก็กดคนเดียวถึง 4 ประตูในเกมที่ถล่มสมันน้อยอย่าง ซาน มาริโน่ 13-0
ในรอบสุดท้ายของศึกยูโร 2008 โพดอลสกี้ ก็ออกสตาร์ทได้อย่างร้อนแรงด้วยการเหมาคนเดียว 2 ประตู ในเกมนัดแรกของกลุ่ม บี ซึ่งเยอรมัน เอาชนะโปแลนด์ 2-0 ก่อนจะยิงอีกประตูในเกมที่พลิกล็อกพ่าย โครเอเชีย 1-2 แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาเป็นดาวซัลโวร่วมกับ ดาวิด บีย่า ของสเปน หลังจากที่ลงสนามไป 2 นัด



อันโตนิโอ คาสซาโน่


หากจะหาซูเปอร์สตาร์สักคนที่ชีวิตขึ้นสูง และลงได้ต่ำแบบสุดๆ จนเกือบจะหมดอนาคต ก็ต้องเขาคนนี้ "อันโตนิโอ คาสซาโน่"
ด้วย ความเป็นอัจฉริยะ ฝีเท้าโดดเด่นเหนือเพื่อนร่วมรุ่น ทำให้อันโตนิโอ คาสซาโน่ ได้รับการยกย่องว่าจะเป็นเพชรเม็ดใหม่แห่งวงการฟุตบอลอิตาลี
แต่เขากลับไปได้ไม่ไกลมากพอ เพราะอุปนิสัยความใจร้อน และไม่ฟังใคร ทำให้มีปัญหาในการปรับตัวไม่ว่าจะอยู่สโมสรใด
คาสซาโน่เป็นชาวบารี่โดยกำเนิด และเริ่มต้นค้าแข้งพัฒนาฝีเท้ากับทีมไก่แดนใต้แห่งนี้ จนผลงานเตะตาแมวมองของหลายทีมใหญ่ในประเทศ
แต่เป็นโรม่า ที่เป็นสิงห์ปืนไว เซ็นสัญญาคว้าตัวคาสซาโน่มาร่วมทัพเมื่อมีอายุเพียง 19 ปีในซัมเมอร์ปี 2001 ด้วยค่าตัวที่ถือว่ามหาศาลในสมัยนั้นถึง28 ล้านยูโร
ในปีแรกเขายิงได้แค่ 5 ประตู แต่ที่ทำให้โดดเด่นเป็นที่สนใจของผู้คน ก็เห็นจะเป็นบุคลิกลักษณะความเอาแต่ใจ และอารมณ์ร้อนสุดขีดของเขา
คาสซาโน่มีปัญหากับกุนซือฟาบิโอ คาเปลโล่ จนโดนดร็อป และยังก่อเรื่องไปทั่ว เขาเคยทำสัญลักษณ์มือหยาบคายใส่กรรมการ หลังโดนไล่ออกในเกมโคปปา อิตาเลีย นัดชิงในปี 2003 ด้วย
แม้ผลงานในสนามจะจัดจ้าน แต่คาสซาโน่ยังไม่เลิกนิสัยเกเร เขาออกฤทธิ์กับลุยจิ เดล เนรี่ กุนซือใหม่ของโรม่าในฤดูกาล 2004-05 จนโดนตัดออกจากทีม
จนกระทั่งเดล เนรี่ลาออก แล้วบรูโน่ คอนติ ผู้จัดการทีมก้าวขึ้นมาดูแลทีมหมาป่าชุดใหญ่ชั่วคราว คาสซ่าจึงได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง
และได้รับมอบหมายในสวมปลอกแขนกัปตันทีมหมาป่า แทนที่ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ ดาวยิงรุ่นพี่ที่สนิทสนมกัน ซึ่งโดนแบนไป 5 นัด
แต่ความรักแบบพี่น้องต้องสะบั้นลงในภายหลังด้วยสาเหตุที่ไม่มีใครรู้ ประกอบกับหัวหอกเลือดร้อนมีความขัดแย้งกับสโมสรเรื่อต่อสัญญาใหม่ ทำให้โรม่าต้องขายเขาให้เรอัล มาดริดในเดือนมกราคมปี 2006
การย้ายของเขาสร้างความฮือฮา และได้รับการจับตามอง เพราะเป็นการกลับไปร่วมงานกับคาเปลโล่ อดีตนายใหญ่หมาป่าซึ่งคุมเรอัล ในยามนั้น
คาสซ่าเปิดตัวได้สวย เมื่อลงเล่นนัดแรกในเกมโกปา เดล เรย์กับเรอัล เบติส เพราะเขายิงประตูแรกได้ทันที ทั้งที่เพิ่งลงได้แค่ 3 นาทีของครึ่งหลัง
แต่ด้วยนิสัยเดิมๆ และความไร้วินัย ทำให้เขาไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนาม คาสซาโน่จึงปล่อยตัวอ้วนเผละ ส่งผลให้มาดริดขู่ปรับเงินเขาในทุกๆ กรัมของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
สถานการณ์ความขัดแย้งมาแตกหักในวันที่ 30 ต.ค. 2006 เมื่อเว็บไซต์ของเรอัล มาดริด ประกาศแบนยาวคาสซาโน่ เนื่องจากแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ไม่เคารพกุนซือคาเปลโล่
ในระหว่างนั้น เขาพยายามง้อขอคืนดีกับต๊อตติ เพื่อย้ายกลับโรม่า แต่ก็ได้รับการเมินเฉยเป็นคำตอบ ทำให้คาสซาโน่ต้องอยู่กับเรอัลต่อไป โดยรักษาอาการบาดเจ็บข้อเท้าไปด้วย และไม่ได้ลงสนามเลย
สุดท้ายเรอัลทนไม่ไหว ทำทุกอย่างเพื่อจะขายเขาออกไปหลังจบฤดูกาลปี 2006-07 และในที่สุดคาสซ่าก็ปฏิเสธโอกาสย้ายซบแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อกลับไปเล่นในอิตาลีกับซามพ์โดเรีย
ลา ซามพ์ยืมตัวดาวยิงชาวบารี่เป็นเวลา 1 ปี และช่วยจ่ายค่าตัวแค่ 1.2 ล้านยูโร จากทั้งหมด 4.2 ล้านยูโร
และเขาก็ประกาศตั้งแต่วันแรกที่ได้มาลา ซามพ์ว่าจะขอปรับปรุงตัวใหม่ เพื่อเป็นการตอบแทนที่ซามพ์ให้โอกาสเขา
คาสซาโน่ทำได้อย่างที่พูด เขาโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมยิงประตูให้ซามพ์โดเรียเป็นกอบเป็นกำ และเป็นคีย์แมนที่ทำให้ทีมได้โควตาลุยยูฟ่า คัพ
แม้จะยังมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์บ้าง เมื่อไปขว้างเสื้อใส่กรรมการหลังโดนไล่ออกจนโดนแบน 5 นัด แต่เจ้าตัวก็ยังรู้จักขอโทษทุกฝ่าย ไม่เหมือนคาสซาโน่คนก่อนที่ไม่เคยเห็นหัวใคร
ด้วยผลงานและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ซามพ์โดเรียจึงขอเซ็นสัญญาถาวรกับเขา โดยที่เรอัล มาดริดก็ยอมปล่อยให้โดยไม่เอาค่าตัวสักแดง
ซึ่งผลงานที่ยอดเยี่ยมกับลา ซามพ์ก็ช่วยให้เขากลับมาติดทีมชาติอิตาลีอีกครั้ง และได้รับเลือกให้ไปร่วมลุยยูโร2008 อีกด้วย หลังจากถูกมาร์เชลโล่ ลิปปี้ เมินไม่ใช้งานในเวิลด์คัพ 2006
แต่น่าเสียดายที่คาสซาโน่เล่นไม่ออกในยูโรที่ผ่านมา ยิงไม่ได้สักประตู และทีมก็ต้องตกรอบพ่ายต่อสเปนไปในรอบก่อนรองชนะเลิศ
ก่อนหน้านั้นคาสซ่าเองก็เคยร่วมทัพอัซซูรี่ไปลุยยูโร 2004 และยิงประตูชัยให้อิตาลีชนะบัลแกเรีย 2-1 แต่ก็ไม่เพียงพอ เพราะทัพอัซซูรี่ก็ร่วงตกรอบแรกไปอย่างน่าผิดหวัง
มาถึงตอนนี้ วันที่ลิปปี้กลับมาเป็นอิล ชิที อัซซูรี่อีกครั้ง เหมือนคาสซาโน่จะต้องทำใจว่าโอกาสที่จะติดธงก็ลดน้อยลง เพราะลิปปี้ไม่ชอบนักเตะเจ้าอารมณ์ที่ทำให้ทีมเสียระบบ
และเขาก็ส่งสัญญาณให้เห็นด้วยการไม่เรียกคาสซ่าติดธงในเกมอุ่นเครื่องกับเบลเยี่ยม เมื่อวันพุธที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา
ทำให้คาสซาโน่ต้องงัดเอาฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาให้ได้ หากอยากจะกลับไปรับใช้อิตาลี และสร้างชื่อในระดับนานาชาติอีกครั้ง






วีรบุรุษ ก็มีอย่างงี้เหมียน กัน อิอิ

พาเวล เนดเวด

ยืนหยัดในเส้นทางค้าแข้งมาเกือบๆ 20 ปี สุดท้าย พาเวล เนดเวด ปีกอัจฉริยะชาวเชกของยูเวนตุสก็ประกาศยืนยันว่าเขาจะแขวนสตั๊ดหลังจบฤดูกาลนี้แล้ว
เนดเวดเริ่มต้นค้าแข้งตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ โดยได้เป็นเด็กฝึกหัดของทีมเยาวชนดูคลา ปราก ก่อนจะเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพในปี 1991
อยู่กับดูคลาฯ ชุดใหญ่ได้แค่ปีเดียว สปาร์ต้า ปราก ทีมดังในลีกเชกก็เซ็นสัญญาคว้าตัวเนดเวดไปร่วมทัพ
ตลอด 4 ปีกับสปาร์ต้า ปราก มิดฟิดล์ผมทองทำผลงานยอดเยี่ยม ด้วยการพาต้นสังกัดค้าแชมป์ลีก 3 สมัย ฟอร์มการเล่นดังกล่าวเตะตาแมวมองจากอิตาลี ที่ดึงเขาไปเซ็นสัญญากับลาซิโอ ในปี 1996
เนดเวดประสบความสำเร็จทันทีที่เล่นให้ทีมอินทรีฟ้าขาว และมีส่วนร่วมทำให้ลาซิโอในยุคนั้นแข็งแกร่งที่สุดในรอบหลาย 10 ปี
เริ่มตั้งแต่คว้าแชมป์โคปปา อิตาเลีย ในฤดูกาล 1997-98 ต่อด้วยแชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ ในซีซั่น 1998-99 ซึ่งเนดเวดเป็นคนยิงประตูชัยดับเรอัล มายอร์ก้า 2-1 ด้วย
เท่านั้นไม่พอ ในฤดูกาล 1999-00 อัจฉริยะผมทองยังพาลาซิโอคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้งเซเรีย อา และโคปปา อิตาเลียมาครองได้สำเร็จ

แต่น่าเสียดายที่ยุคทองของทัพเบียงโค่เชเลสเต้ต้องสะดุดลงด้วยปัญหาการเงินของสโมสรที่เสี่ยงล้มละลาย ทำให้ต้องขายนักเตะแถวหน้าของทีมออกไปเป็นว่าเล่น
เนดเวดเองก็หนีไม่พ้นเป็น 1 ในเพชรเม็ดงามของลาซิโอที่ต้องขายเปลี่ยนเป็นเงินมาช่วยกอบกู้สถานะของสโมสร
ยูเวนตุส ยื่นขอซื้อเขาไปร่วมทัพในปี 2001 ในราคาสูงถึง 41 ล้านยูโร เพื่อนำไปแทนที่ ซีเนอดีน ซีดาน จอมทัพเลือดน้ำหอมที่ยูเว่ขายไปให้เรอัล มาดริดในซัมเมอร์นั้น
แม้ดูเหมือนความคาดหวังและความกดดันจะสูง แต่เนดเวดรับมือกับสิ่งแวดล้อมใหม่ในรังม้าลายได้ดีเยี่ยม
นอกจากจะเล่นได้หลายตำแหน่ง ทั้งมิดฟิลด์ัตัวรุก และปีกซ้าย เนดเวดยังยกระดับฟอร์มของเขาให้ดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าในสีเสื้อเบียงโค่เนรี่
เขากลายเป็นตัวหลักของทีมม้าลายตั้งแต่ต้นและร่วมคว้าสคูเด๊ตโต้กับทีมตั้งแต่ฤดูกาลแรก ก่อนจะเดินหน้าซิวแชมป์มากมายทั้ง โคปปา อิตาเลีย อีก 2 สมัย และคัพ วินเนอร์ส คัพในปี 1998-99
แต่เรื่องน่าเสียดายคือเนดเวดไม่ได้มีโอกาสลงสนามในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่เจอกับเอซี มิลาน ทีมร่วมลีกในปี 2003 ก่อนที่ยูเว่จะแพ้ดวลจุดโทษไปในที่สุด
อย่างไรก็ดี รางวัลปลอบใจของกองกลางเลือดเชกก็คือในปลายปีนั้น เขาได้รับเลือกให้ได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมยุโรป หรือบัลลง ดอร์
นอกจากนี้ยังเป็นมิดฟิลด์ยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นท์ชปล.และแข้งยอดเยี่ยมเซเรีย อา อีกด้วย
สำหรับผลงานในทีมชาติ เนดเวดได้ประเดิมติดธงนัดแรกเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 1994 และได้เป็นกัปตันทีมในเวลาต่อมา
เนดเวดนำทัพเชกสร้างผลงานสุดเซอร์ไพรส์ทะลุเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศยูโร 2004 แต่สุดท้ายก็พ่ายกรีซ 1-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ชวดเข้าชิงอย่างน่าเจ็บใจ และกรีซก็ได้เป็นแชมป์ในเวลาต่อมา
หลังจากได้บัลลงดอร์มาเชยชม ดูเหมือนความสำเร็จจะห่างหายไปจากเนดเวด ในฤดูกาล2005-06 ยูเวนตุสเผชิญมรสุมครั้งสำคัญในการโดนปรับตกชั้นไปเล่นเซเรีย บีจากคดีติดสินบนล้มบอล
เล่นเอานักเตะแถวหน้าของทัพเบียงโค่เนรี่หลายราย โยกย้ายหนีทีมไป ขณะที่อนาคตของเนดเวดก็ได้รับการจับตามอง แต่สุดท้ายเจ้าตัวประกาศขอร่วมหัวจมท้ายไปกับทีมม้าลาย และสัญญากับแฟนๆ จะพาทีมเลื่อนชั้นกลับมาให้ได้
แน่นอนว่าเนดเวดกลายเป็นขวัญใจอันดับต้นๆ ของสาวกยูเวนิสต้า จากความจงรักภักดีและผลงานที่ยอดเยี่ยมตลอด และสุดท้ายเขาก็ช่วยให้ยูเว่คว้าแชมป์เซเรีย บี ตั้งแต่เนิ่นๆ และกลับสู่เซเรีย อาได้ในทันที
แม้เนดเวดจะมีความหมายกับยูเว่มากมาย แต่ก็มีข่าวลือลอดว่าเขาจะเลิกในปี 2008 เนื่องจากมีปัญหาบาดเจ็บรุมเร้าตลอด หลังจากที่หายกลับมา มีรายงานว่ามิดฟิลด์เชกจะใช้เวลาช่วงสุดท้ายในชีวิตค้าแข้งกับจูบิโล่ อิวาตะ ทีมในลีกยุ่น
แต่สุดท้ายเนดเวดก็เลือกต่อสัญญากับยูเว่อีกปี ทำให้ฤดูกาล 2008-09 กลายเป็นซีซั่นสุดท้ายในชีวิตนักเตะอาชีพของเจ้าตัว
น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าทีมม้าลายไม่อาจช่วยปิดฉากรูดม่านเวทีค้าแข้งของเนดเวดให้สมบูรณ์แบบด้วยการคว้าแชมป์ใดๆ ในปีนี้ แต่ถึงกระนั้น ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเนดเวดคืออีกหนึ่งสุดยอดมิดฟิลด์แห่งทศวรรษ ที่เป็นแบบอย่างยอดเยี่ยมทั้งในและนอกสนาม


วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ปาทริค เอวร่า




ประวัติ : หลังจากต้องต่อสู้กับอินเตอร์ มิลาน รวมทั้งคู่แข่งอื่นๆ ในการแย่งชิงปาทริซ เอวร่า ในที่สุดแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็สามารถคว้าตัวฟูลแบ็คทีมชาติฝรั่งเศสรายนี้มาร่วมทีมได้สำเร็จในเดือนมกราคม 2006

จากการย้ายมาร่วมทีมปิศาจแดง เพียงไม่กี่วันหลังจากการคว้าตัวเนมานย่า วิดิช การมาของเอวร่า เป็นการส่งสัญญาณแสดงความตั้งใจของเซอร์ อเล็กซ์ ที่จะปรับปรุงแผงกองหลังของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งประสบปัญหาอย่างหนักนับตั้งแต่การได้รับอาการบาดเจ็บของนักเตะคนสำคัญอย่างกาเบรียล ไฮน์เซ่ ผู้เล่นยอดเยี่ยมของสโมสรในปี 2005

แม้ว่าจะอายุเพียง 24 ปีในตอนที่มาร่วมทีมปิศาจแดง แต่เอวร่า ก็ติดทีมชาติฝรั่งเศสไปแล้ว 5 ครั้ง และยังเป็นกัปตันทีมของโมนาโก อดีตสโมสรต้นสังกัดที่ซึ่งเขาแสดงความสามารถว่าเป็นนักเตะที่เติมเกมรุกได้ดีและมีความทุ่มเทเต็มที่

เหมือนกับนักเตะหลายคนที่เซอร์ อเล็กซ์ เซ็นสัญญามาร่วมทีม เอวร่า เป็นนักเตะที่ยังอายุน้อย เล่นได้หลากหลาย และมีความทะเยอทะยาน ด้วยความสามารถที่เล่นได้ทั้งกองกลางริมเส้นฝั่งซ้ายและแบ็คซ้าย นักเตะทีมชาติฝรั่งเศสรายนี้เป็นที่รู้จักในเรื่องความแม่นยำและฝีเท้าที่มีความเร็วจัด และยังเคยถูกนำไปเปรียบเทียบกับเจสเปอร์ บลอมควิสต์ อดีตนักเตะริมเส้นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกด้วย

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดในเมืองดาการ์ ประเทศเซเนกัล ได้ไม่นาน เอวร่า ก็ย้ายไปอยู่ในประเทศฝรั่งเศสกับมารดาของเขาตั้งแต่ยังมีอายุเพียง 3 ปี และเริ่มต้นเรียนรู้การเล่นฟุตบอลในระบบเยาวชนของปารีส แซงต์ แชร์กแมง โดยในตอนแรกเขาลงเล่นในตำแหน่งกองหน้า แต่หลังจากไม่สามารถขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่กับสโมสรในฝรั่งเศสได้ เขาจึงย้ายไปอยู่กับมาร์ซาล่า สโมสรในลีกระดับต่ำอิตาลี ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีมมอนซ่า ซึ่งก็อยู่ในอิตาลีเช่นกัน

หลังจากนั้น เอวร่า ก็ถูกนีซ ดึงตัวกลับไปที่ฝรั่งเศสอีกครั้งในเดือนมกราคม 2000 ด้วยอายุเพียง 18 ปี และเมื่อผ่านไปอีก 2 ฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จกองหลังจากเซเนกัลรายนี้ก็เป็นตกเป็นที่สนใจของทั้งปารีส แซงต์ แชร์กแมง และโมนาโก ซึ่งในที่สุดก็เป็นโมนาโก ที่ได้เขาไปร่วมทีมในปี 2002 โดยเอวร่า กลายเป็นแบ็คซ้ายตัวหลักของทีม ลงเล่นในลีกให้กับโมนาโก 120 นัด และได้รับประสบการณ์ในฟุตบอลยุโรปอีกด้วย

ในตอนที่ย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอวร่า เปิดเผยว่าเขาเคยปฏิเสธข้อเสนอจากทั้งอาร์เซน่อล และลิเวอร์พูล มาแล้วเพื่อที่จะได้มีโอกาสย้ายมาสู่โรงละครแห่งความฝัน

"ลิเวอร์พูล และอาร์เซน่อล เป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง อินเตอร์ ก็พยายามจะคว้าตัวผมเช่นกันในช่วงเปิดตลาดซื้อขาย แต่มีเพียงสโมสรเดียวเท่านั้นที่ผมต้องการ"

นอกจากนี้ เอวร่า ยังต้องการตำแหน่งในทีมชาติฝรั่งเศสเพื่อไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่เยอรมันด้วย โดยเขากล่าวว่า "ผมคิดถึงการเล่นให้กับทีมชาติฝรั่งเศสทุกวัน และการได้ไปเล่นฟุตบอลโลกเป็นเป้าหมายของผมอย่างแน่นอน มันขึ้นอยู่กับผมที่จะทำให้มันเป็นไปได้ด้วยการทำผลงานอย่างสุดยอดให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"


ดาบิด บีญ่า ซานเชซ



ประวัติ : หนึ่งในศูนย์หน้าที่ดีที่สุดของสเปนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา คงจะต้องมีชื่อของ ดาวิด บีญ่า รวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับบาเลนเซียในฤดูกาล 2004-05 ที่ผ่านมา
เจ้าของสมญานาม 'El Guaje' (แปลว่าเจ้าหนู ในภาษา Astrian) เป็นหัวหอกที่เปี่ยมไปด้วยทักษะและสัญชาตญาณของการพังประตู การจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยม ความเร็วและความครบเครื่องไม่ว่าจะเป็นการยิงด้วยเท้าและลูกกลางอากาศที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน ก็ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทั้งสโมสรและทีมชาติได้อย่างรวดเร็ว
บีญ่า เริ่มต้นการเล่นอาชีพเมื่อปี 1991 กับ ยูพี ลันเกรโอ ซึ่งเป็นทีมในบ้านเกิด ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีมสปอร์ติ้ง กิฆอน ในปี 1999 และประเดิมเกมในระดับลีก้า 2 ในฤดูกาล 2000-01 จากนั้น รีล ซาราโกซ่า ก็ได้หยิบยื่นโอกาสให้เขาได้สัมผัสประสบการณ์ในเกมระดับลา ลีก้า เป็นครั้งแรกในปี 2003
ระหว่างที่ค้าแข้งกับ ซาราโกซ่า เป็นเวลา 2 ฤดูกาล บีญ่า ก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ ด้วยการเฉือนรีล มาดริด และ สแปนิช ซูเปอร์คัพ ในปี 2004 ด้วยการเอาชนะ บาเลนเซีย เจ้าของแชมป์ลา ลีก้า ไปได้อย่างพลิกความคาดหมาย
ด้วยฟอร์มการถล่มประตูที่เฉียบขาด ทำให้ "เจ้าค้างคาว" ยอมทุ่มเงิน 12 ล้านยูโร (ประมาณ 600 ล้านบาท) เพื่อดึงตัว บีญ่า มาร่วมทีมในปี 2005
ในฤดูกาล 2004-05 บีญ่าก็ตอบแทนค่าตัวได้คุ้มค่าทุกเซนต์เมื่อทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยการทำ 25 ประตูจากการลงสนาม 35 นัดในลีก จะเป็นรองก็แค่ ซามูแอล เอโต้ ดาวยิงของบาร์เซโลน่า ที่คว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดลา ลีก้า เพียงคนเดียวเท่านั้น โดย เขาสร้างความฮือฮาด้วยการกดแฮตทริกแรกให้บาเลนเซีย ด้วยการใช้เวลาเพียง 5 นาที ในเกมที่บุกไปเอาชนะ แอธเลติก บิลเบา 3-0 เมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา

จากการทำประตูที่คงเส้นคงวาทำให้มีหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรปจ้องที่จะคว้าตัวหัวหอกวัย 25 ปีไปล่าตาข่าย ซึ่งรวมถึง เชลซี แชมป์พรีเมียร์ชิพ 2 สมัย แต่ บาเลนเซีย ก็ไม่คิดที่จะปล่อยเสาหลักของทีมรายนี้ไปง่ายๆ จึงได้จับต่อสัญญาอยู่โยงในถิ่นเมสตาญ่า สเตเดี้ยม ไปจนถึงปี 2013
ในส่วนของทีมชาติ บีญ่า ก็มีผลงานที่น่าประทับใจเช่นเดียวกัน โดย อดีตนักเตะตัวหลักของทีมชาติสเปน ชุดยู-21 เลื่อนขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในเกมที่พบกับ ซาน มาริโน่ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2005 นอกจากนั้น ยังช่วยทำยิงประตูในเกมเพลย์ออฟ ฟุตบอลโลก ที่พบกับ สโลวาเกีย ด้วย
หลังจากที่ช่วยพาทีมกระทิงดุผ่านเข้ามาร่วมฟาดแข้งในรอบสุดท้ายที่ประเทศเยอรมันแล้ว บีญ่า ดาวยิงตัวเก่งของบาเลนเซีย ก็ยิงได้ 2 ประตูในนัดที่พบกับ ยูเครน และยิงจุดโทษในเกมที่พ่าย ฝรั่งเศส 1-3 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนจะปิดฉากฟุตบอลโลกครั้งแรกด้วยการทำ 3 ประตู

เอ็มมานูเอล อเดบายอร์

เมื่อครั้งที่ อาร์แซน เวนเกอร์ ตัดสินใจเซ็นสัญญากับ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ แฟนบอลอาร์เซน่อลหลายคนอาจไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่เมื่อถึงชั่วโมงนี้แล้วก็คงจะไม่มีข้อสงสัยใดๆ ในความยอดเยี่ยมของศูนย์หน้าร่างโย่งรายนี้อีก
หลังจากที่ทำไปได้ 4 ประตูในซีซั่นแรกกับ "ไอ้ปืนใหญ่" อเดบายอร์ ก็ระเบิดฟอร์มได้อย่างร้อนแรงในฤดูกาล 2007/2008 ด้วยการซัดไปแล้วถึง 9 ประตู และนำเป็นดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีก หลังผ่านไปแล้ว 17 นัด (นับถึงวันที่ 16 ธ.ค. 2007) ซึ่งทำให้กองเชียร์อาร์เซน่อล พอจะคลายความคิดถึง เธียร์รี่ อองรี อดีตดาวยิงตัวเก่ง ที่ย้ายไปบาร์เซโลน่าในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาได้บ้าง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ได้ย้ายจากปืนใหญ่ไปอีกครั้งโดยเหตุผลของเงินที่แมนเซสเตอร์ซิตี้ มอบให้
เส้นทางสู่ถนนลูกหนังของ อเบดายอร์ เริ่มต้นขึ้นในค่ายฝึกซ้อมที่เมืองโลเม่ ในประเทศโตโก และขณะเล่นอยู่ในระดับเยาวชนอายุไม่เกิน 15 ปี ฝีเท้าของเขาก็โดดเด่นจนไปเตะตาแมวมองของ เม็ตซ์ ทีมจากลีก เอิง เข้าอย่างจัง ก่อนจะถูกเรียกตัวไปทดสอบฝีเท้า และได้เซ็นสัญญากับสโมสรดังของฝรั่งเศส เมื่อปี 1999
ใช้เวลาอีก 2 ปีในทีมชุดยู-17 ปี อเดบายอร์ ก็ได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ซึ่งเขาทำไป 2 ประตูจากการลงสนาม 9 นัดในฤดูกาลแรกในฐานะนักเตะอาชีพ อย่างไรก็ตาม ดาวรุ่งจากโตโก ก็ไม่สามารถช่วยต้นสังกัดให้รอดพ้นจากการตกชั้นได้ ทว่า ในฤดูกาล 2002-03 อเดบายอร์ ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงด้วยการซัดไปถึง 17 ประตู จาก 35 เกม และทำให้หลายสโมสรในยุโรปให้ความสนใจ รวมถึงทีมดังอย่าง อาร์เซน่อล และ ยูเวนตุส ด้วย
กระนั้นก็ตาม ทีมที่คว้าตัวเขาไปกลับเป็นทีมในลีก เอิง อย่างโมนาโก ที่ซึ่งเขาช่วยทำ 7 ประตู ใน 17 นัด ให้ทีมทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จากการทำ 2 ประตูใน 10 เกม
หลังจากที่ใช้ความพยายามอยู่นาน ในที่สุด อาร์เซน่อล ก็ได้เซ็นสัญญากับ อเดบายอร์ เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2006 แบบไม่เปิดเผยค่าตัว แต่สื่อคาดกันว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านปอนด์ (ราว 210 ล้านบาท) เท่านั้น และได้สวมเสื้อหมายเลข 25 แทนที่ของ เอ็นวานโก้ คานู อดีตหัวหอกชาวไนจีเรีย ซึ่งเจ้าตัวเผยว่าเป็นนักเตะขวัญใจ
อเดบายอร์ ได้รับสมญานามว่า "เบบี้ คานู" และครั้งหนึ่ง เวนเกอร์ ก็เคยให้คำจำกัดความดาวเตะชาวโตโกตอนที่เซ็นสัญญาว่าเป็น "คานู ที่มีความเร็วบวกด้วย" ในขณะที่สื่อในเมืองผู้ดีกลับให้นิคเนมเขาว่าเป็น "นิว ดร็อกบา" เนื่องจากมีการครองบอลที่ยอดเยี่ยม, ร่างกายที่แข็งแกร่งและโดดเด่นในลูกกลางอากาศ
เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2006 กองหน้าผิวหมึก ก็ประเดิมสนามในพรีเมียร์ลีกให้กับ อาร์เซน่อล และใช้เวลาเพียง 21 นาที ก็สามารถพังประตูได้อย่างรวดเร็วและช่วยให้ทีมเอาชนะ เบอร์มิงแฮม 2-0 อย่างไรก็ตาม อเดบายอร์ ไม่มีสิทธิลงเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับต้นสังกัดเนื่องจากติดคัพ-ไทจากการเล่นยูฟ่า คัพ กับ โมนาโก ในช่วงต้นซีซั่นมาแล้ว
ฤดูกาล 2006-07 อเดบายอร์ ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเขาสามารถเป็นตัวแทนของ อองรี กัปตันทีมที่ได้รับบาดเจ็บได้ และเขาก็กลายเป็นขวัญใจสาวกเดอะ กันเนอร์ส เมื่อเป็นคนทำประตูชัย 1-0 ให้ทีมเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นชัยชนะนัดแรกในฤดูกาลด้วย ก่อนจะจบซีซั่นนั้นด้วยการทำประตูรวมทุกรายการ 12 ลูก
ในส่วนของฤดูกาลนี้ หัวหอกร่างโย่ง ก็ยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องและน่าจะทำลายสถิติยิงประตูในซีซั่นที่ผ่านมาได้ไม่ยาก เพราะตอนนี้ก็ซัดไปแล้วถึง 10 ประตู
ด้าน ผลงานกับทีมชาติ อเดบายอร์ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้ โตโก ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย ที่ประเทศเยอรมัน หลังซัดไปถึง 11 ประตูในรอบคัดเลือกโซนแอฟริกา จนทำให้มีชื่อเข้าชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของกาฬทวีปด้วย และแม้ว่า โตโก จะต้องตกรอบแรกหลังพ่ายไป 3 นัดรวด แต่ อเดบายอร์ ก็ได้รับการยอมรับในฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าจะยิงประตูในรอบสุดท้ายไม่ได้เลยก็ตาม

ริโอ เฟอร์ดินานด์


นับตั้งแต่ย้ายจากลีดส์ ยูไนเต็ด มาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2002 ริโอ เฟอร์ดินานด์ ก็กลายเป็นหัวใจในแนวรับของ "ปีศาจแดง" มาตลอด รวมถึงเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษด้วย
ชีวิตในวัยเด็กของ เฟอร์ดินานด์ ค่อนข้างจะยากลำบาก โดย จูเลี่ยน พ่อของเขาอพยพมาจากเซนต์ ลูเซีย ขณะที่ เจนิส ลาเวนเดอร์ เป็นแองโกล-ไอริช และพ่อแม่ของเขาไม่เคยเข้าพิธีแต่งงานกันมาก่อน อีกทั้งยังเลิกกันตั้งแต่ ริโอ ยังเป็นเด็กๆ ด้วย เขามีน้องชายและน้องสาวหลายคน รวมถึงน้องชายและน้องสาวอย่างละคนจากการแต่งงานใหม่ของแม่ด้วย
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าตระกูล เฟอร์ดินานด์ จะเป็นแหล่งผลิตนักฟุตบอลชั้นดีหลายคน โดย อันทอน เฟอร์ดินานด์ ซึ่งเป็นน้องชายของเขาเล่นให้กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ส่วน เลส เฟอร์ดินานด์ ลูกพี่ลูกน้องของเขาก็เป็นถึงอดีตศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษมาแล้วเช่นกัน
เฟอร์ดินานด์ เริ่มต้นการเล่นในระดับเยาวชนให้กับควีนสพาร์ค เรนเจอร์ส (คิวพีอาร์) ตามด้วย เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก่อนที่จะได้เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของ "ขุนค้อน" และประเดิมสนามครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 1996 ในฐานะตัวสำรองในเกมที่เสมอกับ เชฟฟิลด์ เวนสเดย์ และในฤดูกาล 1997-98 เขาก็คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเวสต์แฮม ด้วยวัยเพียง 20 ปี
หลังจากนั้น เฟอร์ดินานด์ ก็ย้ายมาร่วมทีม ลีดส์ ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีก เมื่อเดือนพ.ย. 2000 ด้วยค่าตัวมหาศาล 18 ล้านปอนด์ (ราว 1,260 ล้านบาท) และทำให้เขากลายเป็นกองหลังที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก ก่อนที่กลายเป็นกัปตันทีม "ยูงทอง" ในเดือนส.ค. 2001
จากที่เคยเป็นขวัญใจของแฟนๆ ในถิ่นเอลแลนด์ โร้ด เฟอร์ดินานด์ ก็กลายเป็นคนทรยศในสายตาแฟนบอลลีดส์ ไปในทันทีที่ย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2002 ด้วยสัญญา 5 ปี เนื่องจากทั้งสองทีมถือเป็นคู่อริกันมานาน แต่ไม่วาจะอย่างไรก็ตาม เขาก็สร้างสถิติโลกในการเป็นกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกขึ้นมาใหม่ด้วยมูลค่า 33 ล้านปอนด์ (ราว 2,310 ล้านบาท)
กว่า เฟอร์ดินานด์ จะทำประตูแรกให้ "ปีศาจแดง" ได้ ก็ต้องรอจนถึงวันที่ 14 ธ.ค. 2005 ในเกมที่ถล่ม วีแกน 4-0 แต่ประตูที่สำคัญที่สุดของเขาจนถึงเวลานี้ก็คงจะเป็นการทำประตูชัยได้ในนาทีสุดท้ายให้ทีมคว้าชัยเหนือ ลิเวอร์พูล ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในปีเดียวกัน
การทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจและคงเส้นคงวาทำให้ เฟอร์ดินานด์ ได้รับการคัดเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมปีศาจแดงอีก 7 คนในฤดูกาล 2005/06
เฟอร์ดินานด์ ทำประตูแรกในถ้วยยุโรปได้ในเกมที่พบกับ ดินาโม เคียฟ ในฤดูกาล 2007-08 ซึ่งแมนฯ ยูไนเต็ด ชนะไป 4-2 และในเกมเอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ กับ พอร์ทสมัธ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2008 เซนเตอร์ฮาล์ฟตัวเก่ง ก็ต้องสวมบทนายทวารจำเป็น เมื่อ เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ได้รับบาดเจ็บจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม และ โทมัส คุซแซค โกล์มือ 2 ก็โดนใบแดงไล่ออกจากสนามไป แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถจะป้องกันลูกจุดโทษของ ซุลเลย์ มุนตารี่ ได้แม้จะพุ่งไปถูกทางก็ตาม ซึ่งผลจบลงด้วยความปราชัยของ "ปีศาจแดง" ด้วยสกอร์ 1-0
นอกจากผลงานที่คงเส้นคงวากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้ว เฟอร์ดินานด์ ยังเป็นนักเตะตัวหลักของทีมชาติอังกฤษมาตลอด ตั้งแต่เลื่อนจากทีมยู-21 ปี ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 1997 โดยเขาลงสนามนัดแรกด้วยการเป็นตัวสำรองในเกมกระชับมิตรกับ แคเมอรูน เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 1997 และทำให้เขากลายเป็นกองหลังทีมชาติอังกฤษที่อายุน้อยที่สุดในวัย 19 ปี 8 วัน ก่อนที่สถิติดังกล่าวจะถูกทำลายโดย ไมกาห์ ริชาร์ดส์ ในเวลาต่อมา
เฟอร์ดินานด์ พลาดการติดทีมชาติไปลุยศึกฟุตบอลโลก 1998 หลังจากโดนข้อหาเมาแล้วขับ แต่ในเวิลด์คัพ 2002 และ 2006 เขาก็เป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ และได้ลงสนามเป็นตัวจริงทุกนัด และเมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2008 ที่ผ่านมา กองหลังปีศาจแดง ก็ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก ในเกมนัดกระชับมิตรกับ ฝรั่งเศส ซึ่ง "สิงโตคำราม" แพ้ไป 0-1
สำหรับชีวิตส่วนตัว เฟอร์ดินานด์ มีลูกชายชื่อ ลอเรนซ์ ซึ่งเกิดจาก รีเบ็คก้า เอลลิสัน แฟนสาว เมื่อปี 2006 และในเดือนก.ค. 2007 เขาก็ได้ขอเธอแต่งงานที่ลาส เวกัส แม้จะยังมีข่าวลืออยู่เป็นระยะๆ ว่าเขาเป็นพวกรักร่วมเพศก็ตาม

เดวิด เบ็คแฮม


เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรแอลเอ กาแลคซี่ ในสหรัฐอเมริกา และเป็นกัปตันของทีมชาติอังกฤษตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ถึง 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2006 เบ็คแฮมเป็นนักเตะ หนึ่งในสี่คนที่เล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมากกว่า 100 นัด เขายังเป็นนักเตะที่เล่นให้ทีมชาติอังกฤษ 94 ครั้ง มากที่สุดเป็นอันดับ 5 (ก.ค. 49) และเป็นคนอังกฤษเพียงคนเดียวที่ทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 3 ครั้ง ใน ฟุตบอลโลก 1998 2002 และ 2006 รวมทั้งหมด 17 ประตู ชื่อเสียงของเบ็คแฮมนอกสนามแข่งนั้นโด่งดังกว่าในสนามมาก เฉพาะในสหราชอาณาจักรแล้ว ชื่อเบ็คแฮมเทียบได้กับแบรนด์อย่างโค้กหรือไอบีเอ็มเลยทีเดียว
เบ็คแฮมได้รับเครื่องราชเป็นนายทหารแห่งจักรวรรดิบริเตน (Officer of the British Empire) จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2
ผลงาน :
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด : เบ็คแฮมเกิดในเมือง ลีย์ตันสโตน ในกรุงลอนดอน โดยพ่อของเขา เท็ด เบ็คแฮม เป็นแฟนของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และเดินทางไปดูการแข่งขันที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดอยู่เสมอ เบ็คแฮมจึงได้เข้าเป็นนักเตะฝึกหัดของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
เมื่อผู้เล่นชุดใหญ่ของสโมสรออกจากทีมไปเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 94-95 ผู้จัดการทีมอเล็กซ์ เฟอร์กูสันจึงนำนักเตะจากทีมเยาวชนขึ้นมาเล่น เดวิด เบ็คแฮมเป็นหนึ่งในนักเตะเหล่านั้น เบ็คแฮมสามารถทำประตูได้ในนัดแรกของฤดูกาล (ชนะ เวสต์แฮม 3-1) และได้เป็นตัวจริงถาวรนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฤดูกาลแรกของเบ็คแฮมนั้นชนะเลิศทั้งพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ
ชื่อเสียงของเบ็คแฮมเริ่มโด่งดังขึ้นในเดือนสิงหาคม 1996 เมื่อเขายิงลูกจากครึ่งสนามเข้าในนัดที่พบกับวิมเบิลดัน เขาติดทีมชาติอังกฤษนัดแรกวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1996 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกที่อังกฤษพบกับมอลโดวา ในฤดูกาลนี้เขายังได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอซึ่งโหวตโดยผู้เล่นในพรีเมียร์ลีก
ฟุตบอลโลก 1998 : เบ็คแฮมได้เล่นในรอบคัดเลือกของฟุตบอลโลก 1998ครบทุกนัด แต่ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศฝรั่งเศส ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเกล็น ฮ็อดเดิลได้วิจารณ์ว่าเขาไม่มีสมาธิกับเกมฟุตบอล ทำให้เบ็คแฮมไม่ได้ลงเล่นใน 2 นัดแรก เขากลับมาลงสนามอีกครั้งในนัดที่อังกฤษชนะโคลัมเบีย 2-0 และทำประดูได้
เบ็คแฮมกลายเป็นตัวร้ายของทีมชาติ เมื่อได้รับใบแดงจากการทำฟาล์วนอกเกมกับดิเอโก ซิโมเน นักเตะทีมชาติอาร์เจนตินาในการแข่งขันรอบที่สอง การแข่งขันนัดนั้นเสมอกันและอังกฤษแพ้ในการยิงจุดโทษ สื่อมวลชนอังกฤษจึงกล่าวหาว่าเขาเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้ในนัดนี้
ฤดูกาลทริปเปิลแชมป์ (1998-1999) :สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จสูงสุดในฤดูกาล 1998-1999 เมื่อสามารถคว้าแชมป์รายการสำคัญได้ถึง 3 รายการ คือ พรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โดยเบ็คแฮมมีส่วนร่วมอย่างมากในการทำประตูการแข่งขันนัดสำคัญ ผลจากการเล่นที่มีประสิทธิภาพในฤดูกาลนี้ทำให้แฟนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดให้อภัยความผิดพลาดในฟุตบอลโลก และคอยปกป้องเบ็คแฮมจากแฟนชาวอังกฤษของสโมสรอื่นที่ยังโจมตีเบ็คแฮมอยู่
เมื่อชื่อเสียงของเบ็คแฮมนอกสนามเริ่มโด่งดัง เขาเริ่มมีปัญหากับผู้จัดการทีมอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งมองว่าวิคตอเรีย เบ็คแฮม ภรรยาของเขามีส่วนต่อพฤติกรรมแย่นอกสนาม ซึ่งทำให้เบ็คแฮมไม่มีสมาธิกับการแข่งขันเท่าที่ควร
เบ็คแฮมเริ่มกลับมาเอาชนะใจแฟนฟุตบอลอังกฤษได้อีกครั้ง เมื่อผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเควิน คีแกน ลาออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ปีเตอร์ เทย์เลอร์ ผู้จัดการชั่วคราวในขณะนั้นมอบตำแหน่งกัปตันทีมให้กับเบ็คแฮม และสืบต่อมาถึงช่วงของ สเวน โกรัน อีริคสัน ผู้จัดการคนถัดมา เบ็คแฮมมีบทบาทอย่างมากในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2002 โดยเฉพาะนัดที่เอาชนะทีมชาติเยอรมนี 5-1 และตีเสมอให้อังกฤษ 2-2 ในนัดที่เจอกับทีมชาติกรีซ ซึ่งทำให้อังกฤษเข้ารอบสุดท้ายในที่สุด
ฟุตบอลโลก 2002 : เบ็คแฮมได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับสโมสรฟุตบอลดีปอร์ติโว ลา คอรุญญ่า ในเดือนเมษายน 2002 จึงหมดสิทธิ์เล่นทั้งฤดูกาล แต่เขาหายทันการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วม เขาทำประตูชัยในนัดที่พบกับอาร์เจนตินา แต่สุดท้ายอังกฤษแพ้ให้กับบราซิลในการแข่งขันรอบถัดมา
เบ็คแฮมได้รับบาดเจ็บอีกครั้งต้นฤดูกาล 2002-03 และเริ่มเสียตำแหน่งตัวจริงในทีม ความสัมพันธ์ของเขากับเฟอร์กูสันถึงจุดแตกหัก เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 หลังการแข่งขันที่แพ้ให้กับสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล ในห้องแต่งตัว เฟอร์กูสันได้เตะรองเท้าสตั๊ดไปโดนบริเวณเหนือคิ้วของเบ็คแฮมจนได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นในการย้ายทีมของเบ็คแฮมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล
เบ็คแฮมลงสนามกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทั้งหมด 394 นัด ทำได้ 85 ประตู
รีลมาดริด : แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต้องการขายเบ็คแฮมให้กับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา แต่เบ็คแฮมกลับเซ็นสัญญา 4 ปีกับสโมสรฟุตบอลรีลมาดริด ด้วยค่าตัวประมาณ 35 ล้านยูโร การย้ายทีมครั้งนี้ ถูกวิจารณ์ว่ารีลมาดริด ต้องการซื้อความเป็นดาราของเบ็คแฮม เพื่อหวังรายได้จากการขายสินค้า มากกว่าต้องการตัวเบ็คแฮม จากฝีมือการเล่นฟุตบอล ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เสื้อของเบ็คแฮมนั้นขายหมดทันที ในวันแรกที่เขาย้ายมายังมาดริด
เมื่อเล่นกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เบ็คแฮมใส่เสื้อหมายเลข 7 แต่เมื่อย้ายมามาดริด หมายเลข 7 ถูกครอบครองโดยราอูล กอนซาเลซดาวยิงชาวสเปนอยู่แล้ว เบ็คแฮมจึงเปลี่ยนไปใส่หมายเลข 23 โดยให้เหตุผลว่าเขาเป็นแฟนของไมเคิล จอร์แดน นักบาสเก็ตบอลชื่อดัง
ฤดูกาลแรกของเบ็คแฮมที่มาดริดเริ่มต้นได้ค่อนข้างดี แต่มาดริดไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆ ได้เมื่อจบฤดูกาล เบ็คแฮมตกเป็นข่าวอื้อฉาวว่ามีความสัมพันธ์กับอดีตผู้ช่วย และนางแบบชาวออสเตรเลีย เบ็คแฮมได้ปฏิเสธข่าวเหล่านี้ ปีนั้นเขายังได้ลงแข่งขันยูโร 2004 และยิงลูกโทษพลาด ทำให้อังกฤษแพ้โปรตุเกสในรอบสี่ทีมสุดท้าย
ฟุตบอลโลก 2006 : เบ็คแฮมมีส่วนในการทำประตูในรอบแรกของฟุตบอลโลก 2006 และยิงได้ในนัดที่พบกับเอกวาดอร์ในรอบที่สอง ทำให้เขาเป็นผู้เล่นอังกฤษคนแรกที่ทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 3 ครั้ง อย่างไรก็ตามในการแข่งขันกับโปรตุเกสในรอบถัดมา เบ็คแฮมบาดเจ็บจนถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง และอังกฤษแพ้จุดโทษให้กับโปรตุเกสอีกครั้ง
หลังจากตกรอบฟุตบอลโลก เบ็คแฮมประกาศลาออกจากตำแหน่งกัปตันทีมชาติอังกฤษ เพื่อเปิดทางให้รุ่นน้องคนอื่นเข้ามารับหน้าที่นี้แทน
ชีวิตส่วนตัว : เบ็คแฮมแต่งงานกับ วิคตอเรีย อดัมส์ นักร้องสาวของวงสไปซ์เกิลส์ ฉายา "Posh Spice" ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนอย่างมาก ทั้งคู่ถูกเรียกจากสื่อว่า "Posh and Becks" และชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ครอบครัวเบ็คแฮมมีลูกชาย 3 คน คือ บรุคลิน โจเซฟ เบ็คแฮม (เกิด 1999), โรมีโอ เจมส์ เบ็คแฮม (เกิด 2002) และครูซ เดวิด เบ็คแฮม (เกิด 2005)

อังเดร อาร์ชาวิน

อังเดร อาร์ชาวิน เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 (อายุ 27 ปี) ที่เมืองเลนินกราด สหภาพโซเวียต (ปัจจุบันคือ เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย)
ฟุตบอลสโมสร :
อาร์ชาวินเริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอล โดยเข้าศึกษาที่โรงเรียนสอนฟุตบอล Smena ในปี พ.ศ. 2542 จากนั้น สโมสรฟุตบอลเซนิตเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ได้เรียกตัวเข้าสู่ สโมสรฟุตบอลเซนิตฟาร์ม ซึ่งเป็นทีมชุดสำรองของเซนิต เมื่อต้นปี พ.ศ. 2543 โดยลงสนามกับทีมชุดใหญ่เป็นนัดแรก ในการแข่งขันฟุตบอลอินเตอร์โตโต้คัพ ประจำฤดูกาลเดียวกันนั้น ที่ไปเยือนแบรดฟอร์ด ซึ่งเซนิตชนะ 3-0 โดยเขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลด้วย
จากนั้น อาร์ชาวินเป็นแชมป์ร่วมกับเซนิต ในรายการต่างๆ ดังนี้ รัสเซียพรีเมียร์ลีกคัพ ประจำฤดูกาล พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003), พรีเมียร์ลีกรัสเซีย ประจำฤดูกาล พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) และได้แชมป์ถึง 2 รายการ คือ ยูฟ่าคัพ และรัสเซียซูเปอร์คัพ ในฤดูกาล พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) ทั้งนี้ ในการแข่งขันฟุตบอลรัสเซียพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล พ.ศ. 2550 ที่เซนิตคว้าแชมป์ อาร์ชาวินลงสนามเป็นผู้เล่น 11 คนแรก ทั้ง 30 นัด ทำได้ 10 ประตู และเป็นผู้ส่งบอลในการทำประตู (Assist) 11 ครั้ง
ต่อมา ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน ดิก อัตโวคาท ผู้จัดการทีมเซนิต ประกาศว่า อาร์ชาวินต้องการย้ายสโมสร จากนั้นก็มีข่าวตามมาว่า สโมสรฟุตบอลหลายแห่ง คือ บาร์เซโลนา, นิวคาสเซิลยูไนเต็ด, เชลซี, แมนเชสเตอร์ซิตี, อินเตอร์มิลาน, อาร์เซนอล และเอฟเวอร์ตัน สนใจดึงตัวอาร์ชาวินมาร่วมทีม แต่สื่อมวลชนก็คาดหมายว่า บาร์ซาเป็นทีมที่ได้เปรียบมากที่สุด จากการที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ว่า ตนชื่นชอบทีมนี้มาตั้งแต่เด็กแม้ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2550 เขาจะยังให้ความสนใจข้อเสนอจากนิวคาสเซิลก็ตาม
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 อาร์ชาวินตกลงเงื่อนไขกับสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลได้สำเร็จ ได้รับหมายเลข 23 บนเสื้อ โดยมีค่าตัว 16.5 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 825 ล้านบาท
ฟุตบอลทีมชาติ :
อาร์ชาวินติดทีมชาติครั้งแรก ในนัดที่ทีมชาติรัสเซียพบกับเบลารุส เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) และทำประตูแรกได้ ในนัดกระชับมิตรกับโรมาเนีย เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) ทั้งนี้ อาร์ชาวินได้รับตำแหน่งกัปตันทีมครั้งแรก ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 (ยูโร 2008) รอบคัดเลือก กับเอสโตเนีย
กุส ฮิดดิงก์ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติรัสเซีย ประกาศชื่ออาร์ชาวินให้เข้าร่วมฟุตบอลยูโร 2008 รอบ 16 ทีมสุดท้าย แม้จะติดโทษห้ามแข่งขัน 2 นัด แต่เมื่อได้ลงสนามเป็นนัดแรก ในนัดสุดท้ายของรอบ 16 ทีม ที่รัสเซียพบกับสวีเดน ก็เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยทีมให้เข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งรัสเซียสามารถชนะฮอลแลนด์ได้ 3-1 โดยอาร์ชาวินทำได้ 1 ประตู และส่งบอลให้ ดิมิทรี ทอร์บินสกี ยิงได้อีก 1 ประตู
ทั้งนี้ อาร์ชาวินยังได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำนัดแข่งขัน (แมนออฟเดอะแมตช์) ทั้งสองนัดด้วย แต่รัสเซียก็พ่ายให้กับสเปนในรอบรองชนะเลิศ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ก่อนที่สเปนจะขึ้นเป็นแชมป์ของทัวร์นาเมนต์นี้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม อาร์ชาวินยังได้รับตำแหน่งกองหน้า ในทีมยอดเยี่ยมของยูโร 2008 ที่ยูฟ่าประกาศหลังจากจบการแข่งขันด้วย
ในระหว่างการแข่งขันยูโร 2008 อาร์ชาวินได้รับคำชื่นชมถึงฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม จากบุคคลสำคัญในวงการฟุตบอลยุโรปหลายคน เช่น ฮิดดิงก์ อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีมอาร์เซนอล, ซีเนอดีน ซีดาน อดีตนักฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส เซร์คีโอ ราโมส กองหลังทีมชาติสเปนของเรอัลมาดริด แอนดี ร็อกซ์เบิร์ก ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของยูฟ่าเป็นต้น

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช


ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เกิดในครอบครัวชาวบอสเนียที่อพยพไปอยู่ที่สวีเดน โดยหลังจากเกิดที่เมืองมัลโม ครอบครัวอิบราฮิโมวิช ก็ย้ายไปอยู่ที่เมืองโรเซนการ์ด ที่อยู่ใกล้ๆกับมัลโม ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะของเมืองสำหรับชุมชนชาวอพยพ แต่สุดท้ายอิบราฮิโมวิช ก็ได้กลับมาอยู่ที่มัลโม อีกครั้งหลังจากที่เรียนจบระดับไฮสคูล
เพียงแต่การกลับมาครั้งนี้ ซลาตัน ไม่ได้มาเพื่อเรียนหนังสือต่ออย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับเป็นการเริ่มต้นเส้นทางชีวิตสายลูกหนังอย่างเต็มตัว หลังจากที่ได้เล่นในระดับเยาวชนกับเอฟเค บอสน่า, เอฟบีเค บอลคาน และทีมเยาวชนของมัลโมมาระยะเวลาหนึ่ง
และด้วยพรสวรรค์ที่มากล้นในตัว ทำให้อิบราฮิโมวิช เป็นกองหน้าที่โดดเด่นกว่านักเตะร่วมรุ่นและทำให้ถูกยอดกุนซืออย่างอาร์แซน เวนเกอร์ แห่งอาร์เซนอล และลีโอ บีนฮัคเกอร์ แห่งมาลาก้า พยายามชักชวนให้ไปร่วมทีมด้วย
โดยเฉพาะเวนเกอร์ ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของการปั้นดาวรุ่งขึ้นมาประดับวงการพยายามตามตื้ออย่างจริงจัง แต่มัลโม ปฏิเสธที่ปล่อยตัวให้ เช่นเดียวกันกับทางด้านบีน ฮัคเกอร์ ที่ประทับใจกับประตูสุดมหัศจรรย์ในนัดที่มัลโม อุ่นเครื่องกับทีมมอสส์ จากนอร์เวย์
อย่างไรก็ตามในปี 2001 มัลโม ก็ไม่อาจรั้งซลาตันได้อีกต่อไป เมื่ออาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในยุคของโค อาเดรียนเซ่ กุนซือชาวเดนมาร์ก ทุ่มเงินถึงกว่า 7.8 ล้านยูโร เพื่อดึงตัวไปร่วมทีม
และช่วงนั้นเองก็เป็นช่วงเวลาที่ซลาตัน เริ่มเล่นทีมชาติด้วย โดยทีแรกเขาต้องการที่จะเล่นให้กับทีมชาติบอสเนีย ตามสายเลือดที่แท้จริง แต่ว่าได้รับการปฏิเสธทำให้ต้องหันเหเส้นทางมาเล่นให้กับทีมชาติสวีเดนแทน
สำหรับอาแจ๊กซ์ ซลาตัน เริ่มต้นได้สวยงามไม่น้อยโดยแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนกุนซือจาอาเดรียนเซ่ เป็นโรนัลด์ คูมัน แต่เขาก็ยังคงได้รับเลือกลงเป็นตัวจริงอย่างสม่ำเสมอ และก้าวมาเป็นกองหน้าสตาร์เด่นของทีม
ซลาตัน มาแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวให้กับอาแจ๊กซ์ ในเวทียุโรปคือเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับโอลิมปิก ลียง โดยนัดนั้นซลาตัน เหมาซัดคนเดียว 2 ลูก โดยหนึ่งในนั้นเป็นประตูที่คลาสสิคสุดๆ ด้วยการลากเลื้อยหลบเอ็ดมิลสัน เซ็นเตอร์ฮาล์ฟดีกรีทีมชาติบราซิล ก่อนจะยิงมุมแคบเข้าไปอย่างเหลือเชื่อ
ประตูดังกล่าวทำให้เริ่มมีการพูดถึงเจ้าหนูมหัศจรรย์คนใหม่รายนี้ โดยเฉพาะการเปรียบเทียบกับกองหน้าลีลาคลาสสิคอย่างมาร์โก แวน บาสเท่น หรือเดนนิส เบิร์กแคมป์ แต่ถ้านำคำถามเรื่องนักฟุตบอลต้นแบบของซลาตัน เขาจะตอบว่า "โกรัน เตอร์เพฟสกี้" อดีตกองหน้ารุ่นพี่ในทีมมัลโม
หลังจากนั้น ซลาตัน ก็ยิ่งกลายเป็นดาราเด่นของทีมและกลายเป็นที่หมายปองของยักษ์ใหญ่ในยุโรป
ดาวยิงสายเลือดบอสเนียน ยังสร้างปรากฎการณ์ได้ต่อไปเมื่อทำประตูสุดมหัศจรรย์ได้อีกครั้งในการเจอกับเอ็นเอซี เบรด้า ในเกมลีกฮอลแลนด์ โดยเป็นประตูที่คล้ายกับลูกยิงในตำนานของดีเอโก้ มาราโดน่า ด้วยการลากหลบผู้เล่นของเบรด้าเป็นว่าเล่น และโชว์กรหลอกล่อผู้รักษาประตูอย่างเหนือชั้นที่แม้แต่ช่างภาพที่ตามจับภาพยังโดนหลอกให้หลงคิดว่ายิงเข้าไปแล้วด้วย ซึ่งสุดท้ายหลังการหลอกจนทุกคนในสนามได้แต่อ้าปากค้าง ซลาตัน ก็บรรจงส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายแบบง่ายๆ
แต่หลังจากนั้น ซลาตัน ก็เริ่มมีปัญหาในทีมอาแจ๊กซ์ โดยเฉพาะความขัดแย้งกับราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท กัปตันทีมที่ทำให้สุดท้ายเขาก็ต้องย้ายออกจากรังอัมสเตอร์ดัม อารีน่า ไปอยู่กับยูเวนตุสแทน ด้วยค่าตัวมหาศาลถึงกว่า 19 ล้านยูโรในฤดูร้อนปี 2004
และถึงจะเป็นการย้ายทีมไปอยู่กับยักษ์ใหญ่อย่างยูเว่ แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับซลาตัน ที่จะแย่งตำแหน่งกองหน้าตัวจริงมาได้ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่ดาวยิงตัวหลักของทีม "ม้าลาย" ในเวลานั้นอย่างดาวิด เทรเซเกต์ เกิดบาดเจ็บขึ้นมาพอดี และฟาบิโอ คาเปลโล่ โค้ชของยูเว่ ในขณะนั้นก็ชื่นชอบซลาตันอยู่แล้ว (เคยพยายามจะซื้อตัวไปร่วมทีมตอนคุมโรม่า)
ซลาตัน ประสบความสำเร็จอย่างงดงามอีกครั้งกับยูเว่ โดยยิงไปถึง 16 ประตูและมีส่วนช่วยให้ยูเวนตุส คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา มาครองได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเพราะมีกองหน้าน้อยรายนักที่จะมาทำผลงานได้ดีในลีกลูกหนังสุดหินในอิตาลี และในฤดูกาล 2004/05 นั้นเองที่เขาได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีจากการโหวตของแฟนๆ ชาวเบียงโคเนรี่ รวมถึงรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสวีเดนในปีเดือน พ.ย. 2005




อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น ซลาตัน ก็ต้องพบกับช่วงชีวิตที่ยากลำบาก เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมากมายทั้งกับสื่อมวลชนในสวีเดนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แถมยังโดนปรับบทบาทในทีมยูเวนตุสด้วย ผลงานในสนามย่ำแย่ลงมากและเริ่มตกเป็นตัวสำรองบ้างบางนัด แต่กระนั้นซลาตัน ก็ยังวาดลวดลายได้บ้าง แต่เปลี่ยนจากบทบาทกองหน้าจอมถล่มประตูเป็นจอมใส่พานให้เพื่อนแทน ซึ่งก็มีบางคนเห็นว่านี่เป็นฟอร์มที่ดีที่สุดของเขาด้วยซ้ำไป แม้จำนวนประตูจะลดลงมากก็ตาม
แต่ทุกอย่างก็เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีกหลังจากนั้น เมื่อเขาเริ่มสูญเสียฟอร์มการเล่นไป และโดนวิจารณ์อย่างหนัก และเริ่มถูกมองว่าเป็นตัวปัญหาของทีม โดยเฉพาะกับความเย่อหยิ่งและมักจะสร้างปัญหาให้ทีมเสมอๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็ลามไปถึงในระดับทีมชาติสวีเดนด้วย ทั้งที่ตลอดมาซลาตัน เป็นตัวความหวังของทีมได้โดยตลอด

มาถึงในฟุตบอลโลก 2006 ซลาตัน ก็มีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนัก แม้ว่าจะทำผลงานได้ดีในรอบคัดเลือกจนพาทีมเข้ามาสู่รอบสุดท้ายที่เยอรมันได้ก็ตาม โดยสวีเดน เล่นได้แย่ในรายการดังกล่าวแถมซลาตัน ยังมีอาการบาดเจ็บจนไม่ได้ลงเล่นในเกมสำคัญกับทีมชาติอังกฤษด้วย ก่อนที่จะโดนเขี่ยตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือของเจ้าภาพ
หลังจากกลับจากเยอรมัน ชะตาชีวิตของเขาก็ต้องพลิกผันอีกรอบ เมื่อยูเวนตุส ถูกศาลลงโทษริบแชมป์ 2 สมัยก่อนหน้านี้และปรับตกชั้นให้ไปอยู่ในเซเรีย บี อันเนื่องจากคดีล็อกผลการแข่งขัน ทำให้ต้องย้ายไปอยู่กับอินเตอร์ มิลาน ด้วยค่าตัวสูงถึง 24.8 ล้านยูโรล่าสุดย้ายสู่อ้อมกอดของบาซาเป้นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ความวุ่นวายในชีวิตของเขายังไม่จบ เมื่อซลาตัน ไปก่อเรื่องพร้อมกับเพื่อนอีก 2 คนคือโอลอฟ เมลล์เบิร์ก และคริสเตียน วิลเฮล์มสสัน โดยแหกกฏเคอร์ฟิวหนีไปดื่มกันช่วงดึก ทำให้ลาร์ส ลาเกอร์บัค กับโรแลนด์ แอนเดอร์สัน สองโค้ชทีมชาติเยอรมัน สั่งลงโทษด้วยการส่งทั้งสามคนกลับบ้านทันที และทำให้อิบราฮิโมวิช ไม่พอใจและปฏิเสธที่จะกลับมาเล่นให้ทีมชาติไปพักใหญ่
ซลาตัน ใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าในการเรียกฟอร์มเดิมๆกลับมากับอินเตอร์ มิลาน และในที่สุดก็สามารถกลับมาเป็นกองหน้าตัวความหวังได้ ซึ่งทางโรแบร์โต้ มันชินี่ โค้ชทีมเนรัซซูรี่ ก็เลือกเขาเป็นกองหน้าตัวหลักเสมอและมีส่วนสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ในฤดูกาลนี้ ส่วนในทีมชาติก็กลับมายอมรับใช้ทีมชาติอีกครั้ง และเชื่อว่าหลังจากนี้เส้นทางของกองหน้าที่มีลีลาการเล่นสวยงามดังการเริงระบำบนสนามเหมือน "เพชฌฆาตพรายกระซิบ" มาร์โก แวน บาสเท่น จะกลับมาสวยงามอีกแน่นอน

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ราอูล กอนซาเลซ

ราอูล กอนซาเลซ บลังโก้ หรือที่รู้จักกันในนาม ราอูล โดยเริ่มเข้าสู่วงการลูกหนังด้วยการไปร่วมทีมเยาวชนของ ซาน คริสโตบัล เดอ ลอส แอนเจลิส หลังจากนั้นคุณพ่อของเขาก็นำตัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนรายนี้ ไปเข้าทีมเยาวชนของแอตเลติโก มาดริด ในขณะที่ ราอูล มีอายุได้ 13 ปี และเขาก็เติบโต พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาในทีมเยาวชนของทีม “ตราหมี” จนสามารถพาทีมคว้าแชมป์เยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี ของสเปน มาครองได้ บนความคาดหมายว่าจะได้ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของแอตเลติโก มาดริด ในอนาคต แต่ฝันของ ราอูล ก็สลายลงไป เมื่อ เฆซุส กิล ประธานสโมสรแอตเลติโก มาดริด ในยุคนั้น สั่งยกเลิกโครงการผลิตนักเตะเยาวชน ลงไปซะอย่างนั้น ด้วยเหตุผลว่าต้องการประหยัดงบประมาณของสโมสร ด้วยเหตุนี้ทำให้ ราอูล ต้องหันเหไปเข้าร่วมทีมเยาวชนของรีล มาดริด ทีมคู่ปรับร่วมเมืองของ แอตเลติโก และเขาก็ประสบความสำเร็จในทีม “ราชันชุดขาว” ได้อย่างรวดเร็ว ราอูล ออกเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ในอาชีพค้าแข้ง ด้วยการลงเล่นในทีมชุดซี หรือทีมระดับชั้น 3 ของ รีล มาดริด ในฤดูกาล 1994/1995 และสร้างความประทับใจให้กับสต๊าฟโค้ชด้วยการยิงได้ถึง 13 ประตู จากการลงสนามไปแค่ 7 นัด ด้วยฝีเท้าที่ยอดเยี่ยม บวกกับพรสวรรค์ที่เปี่ยมล้น ของ ราอูล ทำให้ ฮอร์เก้ บัลดาโน่ ซึ่งเป็นเทรนเนอร์ของรีล มาดริด ในตอนนั้น เรียกตัวเขาขึ้นมาสู่ชุดใหญ่ของทีม และส่งเจ้าหนูราอูล ในวัย 17 ปีกับอีก 4 เดือน ลงสนามในทีมชุดใหญ่ ทำให้ ราอูล กลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ลงสนามในทีมชุดใหญ่ของรีล มาดริด ผลงาน ในฤดูกาลแรก กับทีมชุดใหญ่ของ รีล มาดริด ปรากฏว่า ราอูล ยิงได้ 9 ประตู จากการลงสนาม 28 นัด และสามารถช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลา ลีกา มาครองได้ หลังจากนั้น ราอูล ก็ค่อยๆก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักของรีล มาดริด และช่วยพาทีมคว้าแชมป์ลา ลีกา ในปี 1997, 2001 และ 2003 อีกทั้งคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ถึง 3 ครั้ง ในปี 1998, 2000 และ 2002 ส่วนในทีมชาติสเปน ราอูล ลงสนามให้ทีม “กระทิงดุ” ครั้งแรก ในนัดที่พบกับ สาธารณรัฐเช็ก เมื่อเดือนตุลาคม ปี 1996 และหลังจากนั้นเขาก็ติดทีมมาตลอด จนกลายเป็นกำลังสำคัญของทีมไปในที่สุด อย่างไรก็ตามทีมชาติสเปน ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการลงแข่งขันระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ฟุตบอลโลก โดยหลังจากที่ เฟร์นานโด เอียร์โร่ ประกาศอำลวงการฟุตบอลสเปน ไปเมื่อปี 2002 ราอูล ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมรีล มาดริด และทีมชาติสเปน แทนที่ เอียร์โร่ ราอูล ลงสนามให้กับทีมชาติสเปน ไปแล้ว 92 นัด ทำได้ 42 ประตู เป็นเจ้าของสถิติยิงประตูให้ทีมชาติสเปน ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ และยังเป็นเจ้าของสถิติเป็นนักเตะที่ไม่ใช่ผู้รักษาประตู ที่ลงสนามให้กับทีม “กระทิงดุ” มากที่สุด โดยได้ถือครองสถิตินี้ หลังจากลงสนามในนัดที่ สเปน พบ ซาน มารีโน่ ในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ปี 2005 ดาวยิงสแปนิชรายนี้ ผ่านการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย มาแล้ว 2 ครั้ง คือในปี 1998 ที่ฝรั่งเศส และ 2002 ที่เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ส่วน ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบสุดท้าย ราอูล ก็เล่นมาแล้ว 2 ครั้ง คือใน ยูโร 2000 ที่ ฮอลแลนด์ กับ เบลเยี่ยม ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ และ ยูโร 2004 ที่โปรตุเกส หลังจากที่ ราอูล ทำประตูให้กับ รีล มาดริด ได้ ในนัดที่พบกับ โอลิมเปียกอส ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อวันที่ 28 กันยายน ปี 2005 เขาก็กลายเป็นนักเตะคนแรกที่ทำประตูได้ถึง 50 ลูก ในการลงเตะรายการดังกล่าว มาแล้วถึง 97 นัด นอกจากนั้น ราอูล ยังอยู่ในอันดับ 10 ของสถิตินักเตะที่ยิงประตูได้มากที่สุดในลา ลีกา สเปน จากการซัดไป 180 ลูก ในการลงสนาม 400 นัด ให้กับรีล มาดริด และเขาก็ยังเป็นดาวยิงสูงอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ของทีม “ราชันชุดขาว” ซึ่งเขาก็มีโอกาสสูงที่จะสร้างสถิติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ ราอูล เริ่มโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่าฟอร์มการเล่นตกลงไป เช่นเดียวกับผลงานของรีล มาดริด ทีมต้นสังกัด ที่ไม่ได้แชมป์รายการใดเลยมา 2 ปีแล้ว และในช่วงหลังๆนี้บางครั้ง ราอูล ก็ถูกจับนั่งเป็นตัวสำรองบ้างแล้วด้วย ท่ามกลางคำถามว่า “หรือจะหมดยุคทองของราอูลไปแล้ว” อย่างไรก็ตาม ชื่อของ ราอูล กอนซาเลซ ก็ยังเป็นที่เชื่อมั่นของแฟนบอลทั้งหลายว่าจะสามารถกลับมาคืนฟอร์มสุดยอดได้อีกแน่นอน เพราะเขายังมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ นั่นคือการพาทีมชาติสเปน ประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์รายการสำคัญในระดับนานาชาติเสียที หลังจากที่ประสบความสำเร็จมาทุกอย่างแล้วในการลงเล่นให้กับสโมสรรีล มาดริด

ฟรานเชสโก้ ต็อตติ


ฟรานเชสโก้ ต็อตติ "เจ้าชายหมาป่า" สมญานี้ไม่มีแฟนบอล โดยเฉพาะแฟนบอลแดนมะกะโรนีคนไหนไม่รู้จัก เพราะนี่คือนักฟุตบอล ที่เก่งกาจ รูปหล่อ และสง่างาม ไม่ต่างจากการเจ้าชายในเทพนิยายที่เคยอ่านกันในนิทานเลย
ฟรานเชสโก้ ต็อตตี้ ยอดนักฟุตบอลของทีมชาติอิตาลี และทีม "หมาป่าเหลืองแดง" โรม่า เป็นกองกลางตัวรุกที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดคนหนึ่งในวงการฟุตบอลอิตาลียุคปัจจุบัน ด้วยการเล่นที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ในระดับที่คนทั่วไปไม่อาจเอื้อมถึง
ต็อตตี้ เกิดเมื่อวันที่ 27 ก.ย. 1976 ที่กรุงโรม ในย่านปอร์ต้า เมโทรเนีย ซึ่งต็อตตี้ เติบโตมาไม่ค่อยเหมือนเด็กคนอื่นที่ชอบอ่านการ์ตูนหรือวิ่งซนตามสนามเด็กเล่น แต่สำหรับสถานที่ของเจ้าชายหมาป่าคนใหม่นี้ต้องอยู่ที่สนามฟุตบอลเพียงแห่งเดียวเท่านั้น
ต็อตตี้ มักจะติดตามพ่อ เอ็นโซ่ และแม่ ฟิโอเรลล่า เข้าไปดูเกมในสนามฟุตบอลเสมอๆรวมทั้งเล่นในระดับเยาวชนด้วย และพรสวรรค์ของเขาก็ไปเตะตาแมวมองของหลายสโมสร
แต่ฟิโอเรลล่า ก็ได้ทำเรื่องที่เหลือเชื่อด้วยการปฏิเสธข้อเสนอจากทีมยักษ์ใหญ่อย่างเอซี มิลาน เพื่อที่จะรอข้อเสนอจากทีมโรม่า ซึ่งเป็นทีมโปรดของตัวต็อตตี้เอง ขณะที่เธอก็ไม่ต้องการที่จะให้ลูกรักจากไปอยู่ที่ไหนไกลๆด้วย
สุดท้ายต็อตตี้ ก็ได้เซ็นสัญญาเข้ามาเป็นนักฟุตบอลเยาวชนของโรม่าจนได้ในปี 1989 ด้วยวัย 13 ปี
ยิ่งเติบใหญ่พรสวรรค์ของเจ้าหนูอัจฉริยะคนนี้ก็ยิ่งเปล่งประกาย ต็อตตี้ ใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้นในการไต่เต้าขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของโรม่า และได้รับโอกาสในการลงสนามเป็นเกมแรกในนัดที่โรม่า บุกไปเอาชนะเบรสชาได้ 2-0 เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 1993 ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นตำนานบทใหม่ของทีมโรม่า
หลังจากนั้น ต็อตตี้ ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโรม่า และกลายเป็นหัวใจสำคัญของทีมอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งกับได้รับฉายา "เจ้าชายหมาป่า" ซึ่งเป็นการสืบทอดตำแหน่งจากจูเซ็ปเป้ จานนินี่ เจ้าชายลูกหนังคนเก่าของชาวโรม่า
จานนินี่ ได้ถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างให้กับต็อตตี้ ในการเป็นผู้นำของทีม "จัลโล่รอสซี่" คนต่อไป และเขาก็ได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมตั้งแต่อายุเพียงแค่ 23 ปีเท่านั้น
เจ้าชายหมาป่ายิ่งเล่นก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ในตัวและเขาก็ก้าวถึงจุดสูงสุดเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2000-01 เมื่อนำโรม่า คว้าสคูเด็ตโต้ได้อย่างยิ่งใหญ่ และเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาและยังเป็นการนำสโมสรคืนสู่จุดสูงสุดอีกครั้งหลังไม่ได้แชมป์มาตั้งแต่ฤดูกาล 1982-83
ในปีนั้นต็อตตี้ ยังได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของอิตาลีอีกด้วย
ขวัญใจของชาวโรมานิสต้า ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในปีถัดมาแต่ก็ไม่สามารถต้านความแข็งแกร่งของยูเวนตุสได้ โรม่าจึงจบฤดูกาลด้วยการเป็นรองแชมป์ แต่ในอีก 2 ปีถัดไปต็อตตี้ ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงท็อปฟอร์มที่สุดของชีวิต โดยเฉพาะในปี 2003-04 ที่ถล่มประตูไปถึง 20 ประตู แต่กระนั้นก็ยังทำได้เพียงแค่เป็นรองแชมป์ต่อจากเอซี มิลาน เท่านั้น
หลังจากนั้นนาทีชีวิตของต็อตตี้ ก็เริ่มตกต่ำเช่นเดียวกับโรม่าที่มีปัญหาภายในมากมาย โดยเฉพาะในฤดูกาล 2004-05 ที่มีการเปลี่ยนแปลงโค้ชในทีมมากถึง4 คน แต่กระนั้นเขาก็ยังยิงได้ถึง 12 ประตูและเป็นผู้ทำแอสซิสท์ให้เพื่อนมากมายอีกหลายครั้ง
และในปีนี้เองที่เขาทำสถิติทาบรัศมีตำนานรุ่นบุกเบิกของสโมสรอย่างโรแบร์โต้ ปรุสโซ่ ที่ 107 ประตูได้
ต็อตตี้ ต้องโชคร้ายสุดขีดในฤดูกาล 2005-06 เมื่อได้รับบาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นกระดูกขาหักรวมทั้งเส้นเอ็นขาดอีกด้วย แต่เขาก็สามารถหายกลับมาลงสนามได้อีกครั้งอย่างรวดเร็วและสามารถติดทีมชาติอิตาลี ไปเล่นฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมันได้อีกด้วย
ก่อนหน้านี้ ต็อตตี้ ถือเป็นสมาชิกขาประจำของทีมอัซซูรี่ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรและได้ลงเล่นในระดับเยาวชนมานานก่อนที่จะได้ประเดิมเกมทีมชาติชุดใหญ่ในเกมกับสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 1998 ในศึกยูโร 2000 รอบคัดเลือก และยังพาทีมเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศกับทีมชาติฝรั่งเศสด้วย แต่ต้องพ่ายแพ้อย่างโชคร้ายในช่วงต่อเวลาพิเศษ
กระนั้นต็อตตี้ก็ยังได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดชิงชนะเลิศ รวมทั้งรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของรายการด้วย และได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะที่จะเป็นตำนานคนต่อไปของวงการฟุตบอล
แต่ในศึกฟุตบอลโลก 2002 ต็อตตี้ เจอจุดตกต่ำในนามทีมชาติเมื่อไม่สามารถโชว์พรสวรรค์อันเอกอุได้ และยังแสดงให้เห็นภาพลักษณ์ด้านลบที่เด่นชัดในเรื่องของการควบคุมอารมณ์ โดยไปโดนไล่ออกในเกมกับทีมชาติเกาหลีใต้ เจ้าภาพในครั้งนั้นและเป็นส่วนนึงที่ทำให้ทีมต้องพ่ายแพ้อีกด้วย ซึ่งสาเหตุของการโดนไล่ออกมาจากการโดนผู้ตัดสินแจกใบเหลืองในจังหวะที่ดูคล้ายพยายามจะพุ่งล้มเอาจุดโทษ
ต็อตตี้ ยังมาสร้างชื่อเสียอีกครั้งเมื่อไปถ่มน้ำลายใส่คริสเตียน โพลเซ่น กองกลางทีมชาติเดนมาร์กในศึกยูโร 2004 จนโดนแบนยาวและไม่ได้ลงเล่นในรายการนี้อีกเลย
อย่างไรก็ดีในฟุตบอลโลก 2006 แม้ว่าจะไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมและฟอร์มการเล่นก็ดาดๆ ต็อตตี้ ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของชาวอัซซูรี่ เมื่อพาทีมคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ด้วยชัยชนะเหนือทีมชาติฝรั่งเศส และเป็นการล้างแค้นความผิดหวังเมื่อปี 2000 ไปด้วย
สำหรับในฤดูกาลนี้ (2006-07) ต็อตตี้ กลับมาเล่นได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจอีกครั้งรวมถึงผลงานของโรม่าที่ติดกลุ่มบนของตารางอย่างสม่ำเสมอด้วย ส่วนหนึ่งมาจากชีวิตรักที่สวยงามกับอิลลาลี่ บลาชี่ ภรรยาสาวสวยที่ให้กำเนิดลูกชาย "คริสเตียน" ที่กลายเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต

ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา

ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ตั้งแต่ย้ายมาเป็นสมาชิกในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อปี 2004 ดร็อกบา ก็กลายเป็นหนึ่งในศูนย์หน้า ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุโรป และเป็นกำลังสำคัญ ที่ช่วยให้เชลซีผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มาครองได้ถึง 2 สมัยด้วย
หัวหอกทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ที่สื่อเรียกขานกันว่า "The Drog" เป็นนักเตะที่ถือว่าแจ้งเกิดค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับผู้เล่นส่วนใหญ่ที่มักจะเริ่มเจิดจรัสกันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น
อย่างไรก็ตาม แม้อายุจะใกล้แตะเลข 3 เข้าไปทุกขณะ แต่ ดร็อกบา ก็ยังมีพร้อมทั้งความเร็ว ความแข็งแกร่ง และความทุ่มเท ที่พร้อมจะสร้างความหนักใจให้กองหลังทีมคู่แข่งได้เสมอ จนมีข่าวว่า บาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่ของสเปน พร้อมจะทุ่มเงินก้อนโตเพื่อดึงไล่ตาข่าย
ดร็อกบา ระเบิดฟอร์มได้สุดยอดในฤดูกาล 2006/07 เมื่อเหมาคนเดียวถึง 33 ประตูรวมทุกรายการ และทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ทำประตูให้เชลซีได้มากที่สุด นับตั้งแต่ที่ เคอร์รี่ ดิ๊กสัน เคยทำได้ในฤดูกาล 1984/85 และ 20 ประตูที่ทำได้ในลีก ก็ทำให้เขาคว้ารางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ชิพไปครอง
นอกจากนั้น การลงสนามทั้งหมด 60 นัด ยังทำให้เขาเป็นนักเตะที่ลงสนามต่อซีซั่นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสรด้วย
ไม่เพียงแต่จะทำประตูได้อย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ดร็อกบา ยังมักจะเป็นคนทำประตูสำคัญๆ ซึ่งรวมถึงการเหมาคนเดียว 2 ลูกให้ "สิงห์บลูส์" เอาชนะ อาร์เซน่อล 2-1 พร้อมกับคว้าแชมป์คาร์ลิ่ง คัพ ไปครองในปี 2007, ทำประตูได้ในเกมที่พบกับ บาร์เซโลน่า ทั้งเหย้าและเยือน ก่อนจะกลายเป็นนักเตะจากทวีปแอฟริกาคนแรก ที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ได้ ซึ่งเป็นประตูชัยที่ทำให้เชลซี เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ดร็อกบา ย้ายจาก โอลิมปิก มาร์กเซย มาร่วมทีมเชลซี ในช่วงซัมเมอร์ปี 2004 ด้วยค่าตัว 24 ล้านปอนด์ (ราว 1,680 ล้านบาท) พร้อมกับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของลีก เอิง ฝรั่งเศส เป็นเครื่องการันตีความสามารถ
นักเตะผู้พาไอวอรี่โคสต์ได้ร่วมสังฆกรรมในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเมื่อปี 2006 ย้ายจากทวีปแอฟริกา มาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ยังเด็ก ก่อนจะเริ่มต้นเล่นฟุตบอลในตำแหน่งแบ็กขวา
หลังจากที่ได้เล่นให้กับสโมสรเล็กๆ มาแล้วหลายครั้ง ดร็อกบา ก็ตัดสินใจที่จะปฏิเสธข้อเสนอการทดสอบฝีเท้ากับปารีส แซงต์ แชร์กแมง ก่อนจะร่วมทีม เลอ ม็องส์ ในดิวิชั่น 2 ของเมืองน้ำหอม และเลื่อนขึ้นมาเล่นในลีก เอิง กับ แก็งก็อง
การทำได้ 17 ประตูในฤดูกาล 2002/03 ได้เตะตาโชเซ่ มูรินโญ่ ที่ขณะนั้นยังเป็นผู้จัดการทีมของปอร์โต้ ทว่า ทีมดังของโปรตุเกส ไม่มีเงินพอที่จะซื้อ ดร็อกบา มาร่วมล่าตาข่ายได้ ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจย้ายซบ มาร์กเซย
ในฤดูกาลที่ 2 กับโอแอ็ม หัวหอกไอวอรี่โคสต์ ก็ซัดไป 18 ประตูจากการลงสนามในลีก 35 นัด และทำได้ 6 ประตูในการแข่งขันยูฟ่า คัพ ซึ่งมาร์กเซย ทะยานเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ
จากนั้น "เดอะ ดร็อก" ก็ได้เซ็นสัญญากับ เชลซี ซึ่งมี มูรินโญ่ เป็นนายใหญ่ของทีม และกลายเป็นกำลังสำคัญในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ นับตั้งแต่ฤดูกาล 2004/05 จวบจนถึงปัจจุบัน
นอกจากจะเป็นศูนย์หน้าที่เชลซีแทบจะขาดไม่ได้แล้ว ดร็อกบา ยังเป็นกัปตันทีมชาติไอวอรี่โคสต์ด้วย และผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขาก็ทำให้ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทวีปแอฟริกาปี 2006 ไปครอง โดยเขาติดทีมชาติเป็นครั้งแรก ในเกมที่เสมอกับแอฟริกาใต้ 0-0 เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2002 และเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีม "ช้างดำ" ในเวลานี้หลังทำไปแล้ว

เฟอร์นานโด ตอร์เรส


ประวัติ : เฟอร์นานโด ตอร์เรส เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1984 หรือปี พ.ศ. 2527 เป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งพุ่งแรงชาว สเปน ที่ย้ายจากสโมสรบ้านเกิดอย่าง แอตเลติโก มาดริด มาสังกัดสโมสร ลิเวอร์พูล ในประเทศอังกฤษในฤดูกาล 2007/08 ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติสูงที่สุดของสโมสร (26.5 ล้านปอนด์) เขาเกิดในกรุงมาดริด เมืองหลวงของประเทศสเปน ตอร์เรส อาจจะไม่ได้โด่งดังเหมือนปัจจุบัน หากเขาเลือกไปอยู่กับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง รีล มาดริด โชคชะตาจึงกำหนดให้เขาไปแจ้งเกิดที่ แอตเลติโก มาดริด ทีมคู่แข่งร่วมเมืองนั่นเอง ฉายาของเขาคือ เอลนีโน่ (El Nino) ที่มีความหมายว่า เด็กน้อย เนื่องมาจากใบหน้าที่อ่อนเยาว์ และหล่อเหลาของเขานั่นเอง นอกจากแฟนฟุตบอลแล้ว เขาเองยังมีแฟนคลับ (สาวๆ) ที่ไม่ใช่แฟนฟุตบอลอีกมากมายทั่วโลก
ชีวิตในวันเด็ก : ตอร์เรส วัยเด็ก นั้นก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากเด็กๆทั่วไปมากนัก ที่แตกต่างนิดหน่อยนั่นก็คือ กีฬาที่เขาเล่นมีเพียงแต่ ฟุตบอล พออายุ 5 ปีเขาได้ไปร่วมทีมฟุตบอลของศูนย์กีฬาแถวบ้านโดยการผลักดันจากพ่อของเขานั่นเอง ตอร์เรส มักจะฝันอยู่เสมอว่าอยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพเหมือนกับนักฟุตบอลหลายๆคนที่เขาเห็นในโทรทัศน์ และจากการสนับสนุนของครอบครัว รวมไปถึงคุณปู่ของเขา ผู้ที่เป็นแฟนตัวยงของ แอตเลติโก มาดริด เป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันให้เขาได้ตามหาในฝันวัยเด็ก

เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ :
2001-2007 : แอตเลติโก มาดริดแล้วฝันนั้นก็เริ่มเปิดทางให้เขาเมื่อเขาอายุได้ 10 ปี เขาได้เล่นให้กับทีม ราโย 13 (Rayo 13) ทีมแรกในชีวิตการเล่นฟุตบอล (จริงๆ) เขาฉายแววด้วยการทำประตูถึง 55 ประตู ทำให้ได้โควต้าการคัดเลือกเข้าฝึกหัดเป็นนักเตะเยาวชนของสโมสร แอตเลติโก มาดริด อายุ 12 ปีเขาก็ติดชุด จูเนียร์ทีมบี จนกระทั่งอายุ 15 ปี เขาได้ทำการเซ็นสัญญาฉบับแรกในฐานะนักเตะทีม เยาวชน ฝันของเขาเป็นจริงแล้วปี 2005 ดูจะเป็นปีที่เขาผิดหวังมากที่สุดเพราะ เขายิงได้แค่ 16 ประตูเท่านั้นและทีมก็ไม่สามารถลุ้นแชมป์อะไรได้เลยตอร์เรส มีข่าวการโยกย้ายทีมมาโดยตลอดหลังจากฟุตบอลโลก ไม่ว่าจะเป็น เชลซี แมนยูฯ สเปอร์ ฯลฯแต่ที่เห็นจะชัดเจนขึ้นมาก็เห็นจะเป็นนัดหนึ่งในลาลีกา เมื่อเขาทำประตูได้และถอดปลอกแขนกัปตันซึ่งใต้ปลอกแขนเขียนว่า You?ll never walk alone ซึ่งเป็นสโลแกนของทีม ลิเวอร์พูล ตอร์เรส ออกมายอมรับว่า เขาเองก็เป็นแฟนฟุตบอลตัวยงของทีม ซึ่งคงจะดีไม่น้อยหากวันหนึ่งเขาเองได้ไปเป็นสมาชิกของ เดอะ คอป แล้ววันนั้นก็มาถึงหลังจากยื้อยุด ฉุดกระชากกันมานานด้วยสนนราคาค่าตัวที่แพงลิบ ทำให้หลายๆทีมต้องยอมถอนตัว และเปิดทางให้ ลิเวอร์พูล ได้คว้าตัวมาร่วมทีมด้วยราคาเป็นประวัติการณ์ 26.5 ล้านปอนด์ สมใจเฮีย เบนิเตส และสาวกเดอะค็อป2007-ปัจจุบัน : ลิเวอร์พูล ค่าตัวในการเซ็นสัญญาของเฟร์นันโด ตอร์เรส ได้รับการบันทึกไว้เป็นสถิติสูงสุดของลิเวอร์พูล แม้ว่าสื่ออังกฤษรายงานว่า ค่าตัวนักเตะอยู่ที่ประมาณ 26.5 ล้านปอนด์ ราฟาเอล เบนิเตซยืนยันในการสัมภาษณ์กับสื่อสเปนว่า ค่าตัวอยู่ที่เกือบ 20 ล้านปอนด์ ยังมีรายงานอีกว่า ตอร์เรสยอมลดค่าเหนื่อยสำหรับการย้ายตัว หนังสือพิมพ์ The Times รายงานว่า ค่าตัวลดจาก 103,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ในสเปน เหลือ 90,000 ปอนด์


ในวันที่ 11 สิงหาคม2550 ตอร์เรสลงแข่งนัดเปิดตัวให้ลิเวอร์พูล โดยแข่งกับ แอสตันวิลลา และชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 ตอร์เรสยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ในการลงแข่งครั้งแรกในสนามแอนฟีลด์ ในวันที่ 19 สิงหาคม ในนาทีที่ 16 ผลเสมอ 1-1 กับเชลซี โดยวิ่งไปรับบอลจากการส่งของเจอร์ราร์ด ตอร์เรสเลี้ยงผ่านกองหลังเชลซี ทาล เบน ฮาอิม และยิงผ่านเมือผู้รักษาประตูปีเตอร์ เช็คเข้าไปตุงตาข่ายเชลซี
ตอร์เรสยิงแฮตทริกเป็นครั้งแรกให้สโมสร ในวันที่ 25 กันยายน ในนัดเยือน ถ้วยคาร์ลิงคัพกับเรดดิ้ง และชนะไป 4-2 [2] โดยประตูแรกของตอร์เรสในเกม คือประตูที่ยิงให้ลิเวอร์พูลนำ 2-1 ลูกที่สองของเขาทำให้ ลิเวอร์พูลนำ 3-2 และตามด้วยลูกปิดท้าย 4-2 หลังจากจบการแข่งขัน ตอร์เรสได้รับการคิดเลือกเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน และเนื่องจากตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกได้สำเร็จ เขาจึงได้รับลูกบอลที่ใช้ในการแข่งขันเป็นของที่ระลึก
ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์2551 ตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกแรกในลีกได้สำเร็จ ในเกมที่ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเอาชนะทีมมิดเดิลส์โบร 3-2 และในวันที่ 5 มีนาคม ปีเดียวกัน ตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกได้อีกครั้ง ในเกมที่ลิเวอร์พูลเอาชนะทีมเวสต์แฮมยูไนเต็ด 4-0 ทำให้เฟร์นันโด ตอเรส ได้รับการบันทึกไว้เป็นสถิติว่า เป็นผู้เล่นคนแรกต่อจากแจ็คกี้ บัลเมอร์ ที่เคยทำแฮตทริกในเกมที่แอนฟีลด์ติดต่อกัน 2 นัด ในปี 1946 และยังเป็นนักเตะคนที่ 5 ของสโมสรที่สามารถทำได้ ตอร์เรสได้รับการคัดเลือกให้ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งเดือนกุมภาพันธ์ของพรีเมียร์ชิพอังกฤษ โดยนอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะนอกสหราชอาณาจักรคนแรกที่ยิงได้ 15 ประตูในพรีเมียร์ลีกให้ลิเวอร์พูล
ในวันที่ 15 มีนาคม 2551 เฟร์นันโด ตอร์เรสกลายเป็นผู้เล่นคนแรกของสโมรส ต่อจาก ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ (ปี 1995-1996)ที่สามารถทำประตูในลีกได้เกินถึง 20 ประตูใน 1 ฤดูกาล เมื่อเขาทำประตูในนาทีที่ 47 ในเกมที่ลิเวอร์พูลสามารถเอาชนะทีมเรดดิง 2-1 และหลังจากนั้น ตอร์เรสก็สามารถยิงประตูช่วยให้ทีมเอาชนะอินเตอร์ มิลานในการแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 สุดท้าย
วันที่ 13 เมษายน 2551 เฟร์นันโด ตอร์เรสสามารถทำประตูที่ 30 ของตัวเองให้กับลิเวอร์พูลได้ในฤดูกาลแรกที่ย้ายมา โดยประตูดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมที่ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะทีมแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 3-1 ในการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ชิพของอังกฤษ และด้วยประตูนี้เอง ทำให้เฟร์นันโด ตอร์เรสสามารถทำสถิติ ยิงประตูติดต่อกัน 7 นัด ในสนามแอนฟีลด์
และในวันสุดท้ายของฤดูกาล ณ สนามของทีมสเปอร์สในวันที่ 11 พฤษภาคม 2551 ตอร์เรสได้ทำประตูสุดท้ายของฤดูกาลนี้เป็นประตูที่ 33 ที่ทำให้เขาเป็นนักเตะคนแรกที่ทำประตูเกิน 30 ประตูในหนึ่งฤดูกาล โดยก่อนหน้านั้น มีเพียง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ทำได้ 30 ประตู ในปี 1996-1997 โดยเฉพาะวันที่ 4 พฤษภาคม 2551 ณ สนามแอนฟีลด์ ลิเวอร์พูลเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีมแมนฯ ซิตี้ ทีมชนะไป 1-0 โดยตอร์เรสเป็นผู้ยิงประตูตัดสินชัยชนะ ทำให้เขาสามารถทำประตูติดต่อกันเป็นนัดที่ 8 ในถิ่นแอนฟีลด์ ส่งผลให้เขาเป็นนักเตะคนแรกของทีมที่ทำประตูในเกมลีกสูงต่อหน้าแฟนบอลในแอลฟีลด์ได้ 8 นัดติดต่อกัน โดยมี โรเจอร์ ฮันท์ ที่ทำได้อีกคนแต่ทำได้ในลีกดิวิชั่น 2 เดิมในช่วงทศวรรษที่ 60 ฤดุกาล 1961-1962
33 ประตู จาก 46 นัดในทุกรายการ เฉพาะเกมลีกเขาทำไป 24 ประตู จาก 33 นัดที่ลงแข่ง และทั้ง 24 ประตูไม่มีลูกจากจุดโทษเลย ทำให้ เฟร์นันโด ตอร์เรส ทำสถิติเป็นนักเตะต่างชาติที่ทำประตูสูงสุดเพียงปีแรกที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกคนใหม่ และทำให้เขามีสถิติยิงปรตูเฉลี่ยทุกๆ 1.39 เกม ทำลายสถิติผู้เล่นที่ทำประตูเฉลี่ยสูงสุดให้ลิเวอร์พูลในฤดูกาลแรก ของ จอห์น อัลดิดจ์ (1.55 เกม) ได้อย่างสิ้นเชิง และยังเอาชนะนักเตะอย่าง เอียน รัช (1.63), โรเจอร์ ฮัน (1.65), ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ (1.83). ไมเคิ่ล โอเว่น (1.91) และ เคนนี่ ดัลกลิช (2) ได้อีกด้วย และทุกนัดที่เขาสามารถทำประตูได้ในเกมลีกทีมจะไม่แพ้อีกด้วย และ 25 ประตู ใน 33 ประตูที่เขาทำได้ในฤดูกาลนี้เกิดขึ้นในสนามแอนฟีลด์อีกด้วย
ผลงานในระดับชาติ :

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ตอร์เรสชนะเลิศทัวร์นาเมนต์อัลการ์ฟกับทีมชาติสเปนชุดอายุไม่เกิน 16 ปี ในเดือนพฤษภาคม ทีมีได้ลงแข่ง ในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี และชนะเลิศ โดยตอร์เรสยิงประตูชัยซึ่งเป็นประตูเดียวในนัดชิงชนะเลิศ ตอร์เรสยิงประตูได้มากที่สุดในการแข่งขัน (7 ประตูใน 6 เกม) และได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬายอดเยี่ยม
ในปี 2546 ตอร์เรสได้ลงเล่นเป็นครั้งแรกให้กับทีมชาติสเปน ในวันที่ 6 กันยายน 2546 ในการแข่งกระชับมิตรกับโปรตุเกส ตอร์เรสยิงประตูแรกให้ทีมชาติได้ในวันที่ 28 เมษายน 2547 โดยแข่งกับอิตาลี เมื่อปิดฤดูกาล ตอร์เรสได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติสเปน เพื่อแข่งในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรปปี 2547 ตอร์เรสได้ลงสนาม โดยการเปลี่ยนตัว ใน 2 เกมแรกในรอบแบ่งกลุ่มของสเปน แต่ได้ลงสนามเป็นตัวจริงในการแข่งนัดชี้ชะตากับโปรตุเกส ตอร์เรสยิงชนเสาในนาทีที่ 62 หลังจาก นูโน โกเมสยิงให้โปรตุเกสนำ ในนาทีที่ 57 สเปนแพ้ไป 1-0 และตกรอบ
ในการลงแข่งครั้งแรกในฟุตบอลโลกในปี 2549 ในเยอรมนี ตอร์เรสยิงประตูสุดท้าย ในเกมที่ชนะยูเครน 4-0 ด้วยลูกวอลเลย์ ในนัดที่สองรอบแบ่งกลุ่ม ตอร์เรสยิง 2 ประตูในนัดเจอตูนีเซีย ประตูแรกในนาทีที่ 76 ทำให้สเปนนำ 2-1 และอีกลูกจากจุดโทษ ในนาทีที่ 90 ตอร์เรสไม่ได้ลงในนัดกระชับมิตรกับโรมาเนีย ในเดือนพฤศจิกายน 2549 แต่ได้ลงเล่นในนัดกระชับมิตรกับอังกฤษ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 โดยสเปนชนะไป 1-0
เฟร์นันโด ตอร์เรสแสดงความดีใจ หลังยิงประตูได้ในฟุตบอลโลกในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป ปี 2551 รอบคัดเลือก ตอร์เรสยิงประตูแรกในนัดเจอกับลิกเตนสไตน์ ซึ่งสเปนชนะไป 4-0 ตอร์เรสยิงลูกเสียบมุมประตู จากระยะ 11 เมตร ตอร์เรสได้ลงเล่นในนัดเจอกับไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งสเปนแพ้ 3-2 สเปนได้แข่งกับสวีเดน และแพ้ไป 2-0 ในนัดนี้ ในนัดเจอเดนมาร์ก ตอร์เรสได้เปลี่ยนตัวลงมาเล่นในนาทีที่ 64 แต่ไม่สามารถยิงประตูได้ แต่สเปนก็ชนะไป 2-1
ตอร์เรสเป็นตัวสำรองอีกครั้ง แต่ได้เปลี่ยนตัวลงมาในนาทีที่ 43 แทนเฟร์นันโด โมเรียนเตส ตอร์เรสยิง 2 ครั้ง แต่ไม่ตรงกรอบทั้งสองครั้ง แต่สเปนยังชนะ 1-0 จากประตูของอีเนียสตาในนาทีที่ 80 ตอร์เรสไม่ได้ถูกเลือกในนัดที่สเปนชนะลัตเวีย 2-0 และนัดเจอลิกเตนสไตน์ 2-0 ตอร์เรสได้ลงเล่นในนัดเสมอ 1-1 กับไอซ์แลนด์ ซาบี อาลอนโซเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูล โดนใบแดงไล่ออก ในนัดเจอลัตเวีย ตอร์เรสยิงได้ 1 ประตู สเปนได้เป็นที่ 1 ของกลุ่ม และตอร์เรสยิงให้สเปนได้ 2 ประตู