วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มิชาเอล บัลลัค




ไม่ว่า เชลซี จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกหรือไม่ในฤดูกาลนี้ แต่เชื่อว่าชื่อของ มิชาเอล บัลลัค จะถูกจดจำโดยสาวก "สิงโตน้ำเงินคราม" ไปอีกนานเป็นแน่


นี่คือผู้เล่นที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นคนทำให้การแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2007/08 เข้มข้นขึ้นคลั่กในช่วงท้ายฤดูกาล

บัลลัค เป็นแรงขับให้ เชลซี อัด แมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนที่จะพาทีมบุกไปเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ถึงรัง จนยื้อให้การลุ้นแชมป์ ไปวัดกันวันสุดท้าย

กัปตันทีมชาติเยอรมัน เดินทางมาไกลเหลือเกินกว่าจะมีวันนี้ได้

บัลลัค เกิดใน เยอรมันตะวันออก และเริ่มต้นชีวิตนักเตะกับ คาร์ล-มาร์กซ์-สตัดต์ เอฟซี สโมสรซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น เชมนิตซ์ เอฟซี หลังจากการทุบทำลายกำแพงกั้นระหว่างเยอรมันตะวันออกกับตะวันตก

ฝีเท้า บัลลัค โดดเด่นจนมีชื่อติดทีมชาติเยอรมันรุ่น ยู 21 ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจย้ายสู่ ไกเซอร์สเลาเทิร์น ใน บุนเดสลีกา เมื่อปี 1997

เขาลงสนามให้สโมสร 16 เกม ในฤดูกาลแรกที่ ไกเซอร์สเลาเทิร์น สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการกลายเป็นน้องใหม่ที่เลื่อนขึ้นมาคว้าแชมป์ลีกสูง สุดได้อย่างหน้าตาเฉย

บนวัย 22 เจ้าหนุ่ม บัลลัค จอมห้าว ได้ติดทีมชาติชุดใหญ่ พร้อมกับย้ายสู่ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ซึ่งกราฟชีวิตนักเตะของเขา เริ่มพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆ

"ไกเซอร์น้อย" เป็นกำลังสำคัญพา "ห้างขายยา" เข้าชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศในปี 2002 แต่ต้องปราชัยให้ ซีเนดีน ซีดาน แอนด์ โค ในชุด เรอัล มาดริด

อย่างไรก็ตาม จากผลงานอันโดดเด่น ยังผลให้ บัลลัค มีชื่อติดสามอันดับนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเมืองเบียร์

สโมสรที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมันอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ไม่รอช้าที่จะกระชากตัว บัลลัค เข้าสังกัดด้วยค่าตัว 12.9 ล้านปอนด์

กับ "เสือใต้", บัลลัค มีโอกาสได้สัมผัสกับแชมป์ บุนเดสลีกา เพียงฤดูกาลแรกในแคว้น บาวาเรีย ก่อนที่ บัลลัค จะระเบิดฟอร์มกดสองเม็ดในศึก เยอรมัน คัพ นัดชิงชนะเลิศ จนช่วยให้ บาเยิร์น ประสบความสำเร็จระดับดับเบิ้ลแชมป์

ความสำเร็จสองถ้วย เกิดขึ้นอีกครั้งในอีกสองปีต่อมา และอีกครั้งในปถัดมา ซึ่งถือเป็นปีสุดท้ายของ บัลลัค ในเยอรมัน

ในระดับชาติ บัลลัค กลายเป็นผู้เล่นที่ทุ่มเทจนได้ใจแฟนๆ "อินทรีเหล็ก" ในรายการ เวิลด์ คัพ สองประตูทองของเขา ช่วยให้เยอรมัน ผ่านเข้ารอบควอเตอร์ไฟนั่ล และรองชนะเลิศเมื่อคราว เวิลด์ คัพ ฉบับเอเชีย

แต่การโดนใบเหลืองอย่างไม่เห็นแก่ตัวของ บัลลัค ยังผลให้เขาต้องพลาดลงสนามในเกมนัดชิงชนะเลิศกับ บราซิล อย่างน่าเสียดาย

ในปี 2006 บนแผ่นดินเกิด บัลลัค ต้องอกหักอีกครั้งเมื่อพลาดลงสนามในนัดชิงชนะเลิศ เวิลด์ คัพ จากการที่โดนอิตาลีเล่นงาน

เมื่อ บัลลัค ตัดสินใจอำลา บาเยิร์น แบบไร้ค่าตัวตั้งแต่ก่อนศึก เวิลด์ คัพ เขาได้เลือกแล้วว่า เชลซี คือที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง

อันตรายยามอยู่บนอากาศ, ยิงบอลหนักหน่วง, ผ่านได้แม่นยำทั้งสองเท้า... บัลลัค เดินเข้าสู่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ พร้อมด้วยสถิติยิงหนึ่งประตูๆ ทุกๆ สองเกมทั้งในระดับสโมสร และทีมชาติ

อย่างไรก็ตาม อาการเจ็บข้อเท้า ทำให้ บัลลัค ต้องหายหน้าไปนานกว่าแปดเดือน ซึ่งนานเพียงพอที่จะทำให้เขาอดมีส่วนร่วมกับศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม

บัลลัค กลับมาลงสนามให้ เชลซี อีกครั้งในฐานะตัวสำรองของเกม คาร์ลิ่ง คัพ รอบแปดทีมสุดท้ายที่ เชลซี เอาชนะ ลิเวอร์พูล โดยเป็นคนใส่พานให้ อังเดร เชฟเชนโก้ กดประตูในนาทีที่ 90

สัปดาห์ถัดมา บัลลัค รับบทตัวสำรองอีกครั้ง และคราวนี้ มิดฟิลด์จอมถล่มประตูจัดการพังประตูแรกในฤดูกาลให้ตัวเองเมื่อบรรจงปั่นฟรี คิกตุงตาข่าย ก่อนที่จะเรียกจุดโทษได้ในเกมซึ่งลงเอยด้วยผลเสมอ 4-4 อย่างน่าตื่นเต้น

สามวันต่อมา บัลลัค ได้รับมอบหมายให้เป็นกัปตันทีมจากการที่ทั้ง จอห์น เทอร์รี่ และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ไม่อยู่ และสตาร์ชาวเยอรมัน ก็ช่วยให้ทีมคัมแบ๊กกลับมาเอาชนะที่ ฟูแล่ม ด้วยการกดจุดโทษอย่างเด็ดขาด

เมื่อฟิตเต็มถัง บัลลัค จะเป็นผู้เล่นที่หยุดยากเสมอๆ

เหมือนกับช่วงท้ายฤดูกาล 2007/08 นี้ที่ บัลลัค ยังช่วยให้ เชลซี ของ อัฟราม แกร้นท์ ยืนระยะอย่างมั่นคง

ชีวิตของ บัลลัค เคยผ่านความเจ็บช้ำมามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวืดแชมป์ทั้งสามรายการในปีเดียวที่ เลเวอร์คูเซ่น ซึ่งส่งผลให้จิตใจของเขาแข็งแกร่งปานภูผา ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับ สถานการณ์อะไร บัลลัค บ่เคยยั่น

จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมบอร์ดบริหารสโมสร เชลซี จึงอยากให้ บัลลัค อยู่ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไปจนแขวนสตั๊ด แม้ต้องจ่ายเงินค่าแรงให้สัปดาห์ละแสนกว่าปอนด์ให้กับผู้เล่นที่อายุปาเข้า 31 ปีแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น