วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช


ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เกิดในครอบครัวชาวบอสเนียที่อพยพไปอยู่ที่สวีเดน โดยหลังจากเกิดที่เมืองมัลโม ครอบครัวอิบราฮิโมวิช ก็ย้ายไปอยู่ที่เมืองโรเซนการ์ด ที่อยู่ใกล้ๆกับมัลโม ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะของเมืองสำหรับชุมชนชาวอพยพ แต่สุดท้ายอิบราฮิโมวิช ก็ได้กลับมาอยู่ที่มัลโม อีกครั้งหลังจากที่เรียนจบระดับไฮสคูล
เพียงแต่การกลับมาครั้งนี้ ซลาตัน ไม่ได้มาเพื่อเรียนหนังสือต่ออย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับเป็นการเริ่มต้นเส้นทางชีวิตสายลูกหนังอย่างเต็มตัว หลังจากที่ได้เล่นในระดับเยาวชนกับเอฟเค บอสน่า, เอฟบีเค บอลคาน และทีมเยาวชนของมัลโมมาระยะเวลาหนึ่ง
และด้วยพรสวรรค์ที่มากล้นในตัว ทำให้อิบราฮิโมวิช เป็นกองหน้าที่โดดเด่นกว่านักเตะร่วมรุ่นและทำให้ถูกยอดกุนซืออย่างอาร์แซน เวนเกอร์ แห่งอาร์เซนอล และลีโอ บีนฮัคเกอร์ แห่งมาลาก้า พยายามชักชวนให้ไปร่วมทีมด้วย
โดยเฉพาะเวนเกอร์ ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของการปั้นดาวรุ่งขึ้นมาประดับวงการพยายามตามตื้ออย่างจริงจัง แต่มัลโม ปฏิเสธที่ปล่อยตัวให้ เช่นเดียวกันกับทางด้านบีน ฮัคเกอร์ ที่ประทับใจกับประตูสุดมหัศจรรย์ในนัดที่มัลโม อุ่นเครื่องกับทีมมอสส์ จากนอร์เวย์
อย่างไรก็ตามในปี 2001 มัลโม ก็ไม่อาจรั้งซลาตันได้อีกต่อไป เมื่ออาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในยุคของโค อาเดรียนเซ่ กุนซือชาวเดนมาร์ก ทุ่มเงินถึงกว่า 7.8 ล้านยูโร เพื่อดึงตัวไปร่วมทีม
และช่วงนั้นเองก็เป็นช่วงเวลาที่ซลาตัน เริ่มเล่นทีมชาติด้วย โดยทีแรกเขาต้องการที่จะเล่นให้กับทีมชาติบอสเนีย ตามสายเลือดที่แท้จริง แต่ว่าได้รับการปฏิเสธทำให้ต้องหันเหเส้นทางมาเล่นให้กับทีมชาติสวีเดนแทน
สำหรับอาแจ๊กซ์ ซลาตัน เริ่มต้นได้สวยงามไม่น้อยโดยแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนกุนซือจาอาเดรียนเซ่ เป็นโรนัลด์ คูมัน แต่เขาก็ยังคงได้รับเลือกลงเป็นตัวจริงอย่างสม่ำเสมอ และก้าวมาเป็นกองหน้าสตาร์เด่นของทีม
ซลาตัน มาแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวให้กับอาแจ๊กซ์ ในเวทียุโรปคือเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับโอลิมปิก ลียง โดยนัดนั้นซลาตัน เหมาซัดคนเดียว 2 ลูก โดยหนึ่งในนั้นเป็นประตูที่คลาสสิคสุดๆ ด้วยการลากเลื้อยหลบเอ็ดมิลสัน เซ็นเตอร์ฮาล์ฟดีกรีทีมชาติบราซิล ก่อนจะยิงมุมแคบเข้าไปอย่างเหลือเชื่อ
ประตูดังกล่าวทำให้เริ่มมีการพูดถึงเจ้าหนูมหัศจรรย์คนใหม่รายนี้ โดยเฉพาะการเปรียบเทียบกับกองหน้าลีลาคลาสสิคอย่างมาร์โก แวน บาสเท่น หรือเดนนิส เบิร์กแคมป์ แต่ถ้านำคำถามเรื่องนักฟุตบอลต้นแบบของซลาตัน เขาจะตอบว่า "โกรัน เตอร์เพฟสกี้" อดีตกองหน้ารุ่นพี่ในทีมมัลโม
หลังจากนั้น ซลาตัน ก็ยิ่งกลายเป็นดาราเด่นของทีมและกลายเป็นที่หมายปองของยักษ์ใหญ่ในยุโรป
ดาวยิงสายเลือดบอสเนียน ยังสร้างปรากฎการณ์ได้ต่อไปเมื่อทำประตูสุดมหัศจรรย์ได้อีกครั้งในการเจอกับเอ็นเอซี เบรด้า ในเกมลีกฮอลแลนด์ โดยเป็นประตูที่คล้ายกับลูกยิงในตำนานของดีเอโก้ มาราโดน่า ด้วยการลากหลบผู้เล่นของเบรด้าเป็นว่าเล่น และโชว์กรหลอกล่อผู้รักษาประตูอย่างเหนือชั้นที่แม้แต่ช่างภาพที่ตามจับภาพยังโดนหลอกให้หลงคิดว่ายิงเข้าไปแล้วด้วย ซึ่งสุดท้ายหลังการหลอกจนทุกคนในสนามได้แต่อ้าปากค้าง ซลาตัน ก็บรรจงส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายแบบง่ายๆ
แต่หลังจากนั้น ซลาตัน ก็เริ่มมีปัญหาในทีมอาแจ๊กซ์ โดยเฉพาะความขัดแย้งกับราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท กัปตันทีมที่ทำให้สุดท้ายเขาก็ต้องย้ายออกจากรังอัมสเตอร์ดัม อารีน่า ไปอยู่กับยูเวนตุสแทน ด้วยค่าตัวมหาศาลถึงกว่า 19 ล้านยูโรในฤดูร้อนปี 2004
และถึงจะเป็นการย้ายทีมไปอยู่กับยักษ์ใหญ่อย่างยูเว่ แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับซลาตัน ที่จะแย่งตำแหน่งกองหน้าตัวจริงมาได้ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่ดาวยิงตัวหลักของทีม "ม้าลาย" ในเวลานั้นอย่างดาวิด เทรเซเกต์ เกิดบาดเจ็บขึ้นมาพอดี และฟาบิโอ คาเปลโล่ โค้ชของยูเว่ ในขณะนั้นก็ชื่นชอบซลาตันอยู่แล้ว (เคยพยายามจะซื้อตัวไปร่วมทีมตอนคุมโรม่า)
ซลาตัน ประสบความสำเร็จอย่างงดงามอีกครั้งกับยูเว่ โดยยิงไปถึง 16 ประตูและมีส่วนช่วยให้ยูเวนตุส คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา มาครองได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเพราะมีกองหน้าน้อยรายนักที่จะมาทำผลงานได้ดีในลีกลูกหนังสุดหินในอิตาลี และในฤดูกาล 2004/05 นั้นเองที่เขาได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีจากการโหวตของแฟนๆ ชาวเบียงโคเนรี่ รวมถึงรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสวีเดนในปีเดือน พ.ย. 2005




อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น ซลาตัน ก็ต้องพบกับช่วงชีวิตที่ยากลำบาก เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมากมายทั้งกับสื่อมวลชนในสวีเดนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แถมยังโดนปรับบทบาทในทีมยูเวนตุสด้วย ผลงานในสนามย่ำแย่ลงมากและเริ่มตกเป็นตัวสำรองบ้างบางนัด แต่กระนั้นซลาตัน ก็ยังวาดลวดลายได้บ้าง แต่เปลี่ยนจากบทบาทกองหน้าจอมถล่มประตูเป็นจอมใส่พานให้เพื่อนแทน ซึ่งก็มีบางคนเห็นว่านี่เป็นฟอร์มที่ดีที่สุดของเขาด้วยซ้ำไป แม้จำนวนประตูจะลดลงมากก็ตาม
แต่ทุกอย่างก็เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีกหลังจากนั้น เมื่อเขาเริ่มสูญเสียฟอร์มการเล่นไป และโดนวิจารณ์อย่างหนัก และเริ่มถูกมองว่าเป็นตัวปัญหาของทีม โดยเฉพาะกับความเย่อหยิ่งและมักจะสร้างปัญหาให้ทีมเสมอๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็ลามไปถึงในระดับทีมชาติสวีเดนด้วย ทั้งที่ตลอดมาซลาตัน เป็นตัวความหวังของทีมได้โดยตลอด

มาถึงในฟุตบอลโลก 2006 ซลาตัน ก็มีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนัก แม้ว่าจะทำผลงานได้ดีในรอบคัดเลือกจนพาทีมเข้ามาสู่รอบสุดท้ายที่เยอรมันได้ก็ตาม โดยสวีเดน เล่นได้แย่ในรายการดังกล่าวแถมซลาตัน ยังมีอาการบาดเจ็บจนไม่ได้ลงเล่นในเกมสำคัญกับทีมชาติอังกฤษด้วย ก่อนที่จะโดนเขี่ยตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือของเจ้าภาพ
หลังจากกลับจากเยอรมัน ชะตาชีวิตของเขาก็ต้องพลิกผันอีกรอบ เมื่อยูเวนตุส ถูกศาลลงโทษริบแชมป์ 2 สมัยก่อนหน้านี้และปรับตกชั้นให้ไปอยู่ในเซเรีย บี อันเนื่องจากคดีล็อกผลการแข่งขัน ทำให้ต้องย้ายไปอยู่กับอินเตอร์ มิลาน ด้วยค่าตัวสูงถึง 24.8 ล้านยูโรล่าสุดย้ายสู่อ้อมกอดของบาซาเป้นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ความวุ่นวายในชีวิตของเขายังไม่จบ เมื่อซลาตัน ไปก่อเรื่องพร้อมกับเพื่อนอีก 2 คนคือโอลอฟ เมลล์เบิร์ก และคริสเตียน วิลเฮล์มสสัน โดยแหกกฏเคอร์ฟิวหนีไปดื่มกันช่วงดึก ทำให้ลาร์ส ลาเกอร์บัค กับโรแลนด์ แอนเดอร์สัน สองโค้ชทีมชาติเยอรมัน สั่งลงโทษด้วยการส่งทั้งสามคนกลับบ้านทันที และทำให้อิบราฮิโมวิช ไม่พอใจและปฏิเสธที่จะกลับมาเล่นให้ทีมชาติไปพักใหญ่
ซลาตัน ใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าในการเรียกฟอร์มเดิมๆกลับมากับอินเตอร์ มิลาน และในที่สุดก็สามารถกลับมาเป็นกองหน้าตัวความหวังได้ ซึ่งทางโรแบร์โต้ มันชินี่ โค้ชทีมเนรัซซูรี่ ก็เลือกเขาเป็นกองหน้าตัวหลักเสมอและมีส่วนสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ในฤดูกาลนี้ ส่วนในทีมชาติก็กลับมายอมรับใช้ทีมชาติอีกครั้ง และเชื่อว่าหลังจากนี้เส้นทางของกองหน้าที่มีลีลาการเล่นสวยงามดังการเริงระบำบนสนามเหมือน "เพชฌฆาตพรายกระซิบ" มาร์โก แวน บาสเท่น จะกลับมาสวยงามอีกแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น